"ปัจจุบันเราอยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุน หรือซื้อกิจการกับบริษัททั้งในและต่างประเทศหลายราย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ สำหรับเงินลงทุนเราก็ได้เตรียมเงินสดไว้ จากล่าสุดจ่ายปันผลเป็นหุ้นทำให้มีเงินสดอยู่พอสมควร และยังสามารถกู้ได้อีก มี D/E แค่ 0.73 เท่า ส่วนอีกทางเลือกคือการเพิ่มทุน แต่บริษัทฯจะยังไม่เลือกทางนี้"นายอาทิตย์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯคาดว่า จะสามารถซื้อขายหุ้นที่ราคาพาร์ใหม่ได้ในช่วงปลายเดือน เม.ย.นี้ โดยในวันที่ 30 มี.ค.จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติแตกพาร์จากเดิม 1 บาท/หุ้น เป็น 0.25 บาท/หุ้น เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย
สำหรับแนวโน้มอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะมากกว่าปีก่อนที่ทำได้ 5.84% เนื่องจากบริษัทฯ จะเน้นการหมุนรอบของงานระยะสั้นมากยิ่งขึ้นเนื่องจากมีมาร์จิ้นสูงกว่างานโครงการระยะยาว ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากงานโครงการของภาครัฐฯที่ยังไม่มีการเริ่มเดินหน้าเชิงปฏิบัติซึ่งอาจจะทำให้การส่งมอบงานที่มีอยู่ในมือ (Backlog) กว่า 2.2 พันล้านบาท มีความล่าช้าโดยเป็นงานภาครัฐฯ 60-70%
ส่วนรายได้ในปีนี้ยังคงเป้าหมายไว้ที่รายได้จะเติบโตราว 10% หรือรายได้ราว 2.9 พันล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทฯมีงานในมือ (Backlog) ราว 2.2 พันล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ราว 60% ในขณะเดียวกันหวังว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆของภาครัฐฯจะเข้ามาผลักดันอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างให้มีการเติบโต โดยคาดว่าโครงการต่างๆของภาครัฐฯจะออกมาในช่วงครึ่งปีหลัง