ด้านยอดขายของบริษัทในปี 58 ตั้งเป้าไว้ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่ 1.93 หมื่นล้านบาท โดยในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.พ. 58) บริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้ว 2.1 พันล้านบาท หรือเติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการเติบโตจากยอดขายโครงการแนวราบ 20% แต่ยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียมยังทรงตัว
"มองว่าในช่วงที่ผ่านมากำลังซื้อเริ่มดีขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพฯที่มีความชัดเจน แต่ในต่างจังหวัดอาจจะยังไม่ดีมาก โดยโครงการแนวราบที่ผ่านมามียอดขายที่ดีกว่าคอนโดฯ ส่วนอัตราการ reject สินเชื่อที่ผ่านมาก็ยังทรงตัวจากปีก่อนที่ 6% แต่โดยรวมแล้วอัตราการ reject นั้นลดลงเมื่อเทียบกับปี 56 ที่สูงถึง 8% แต่จริงๆแล้วตอนนี้มีแบงก์สนใจเข้ามาปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าของบริษัทก็มากพอสมควร" นายไตรเตชะ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทได้วางแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ทั้งหมด 28 โครงการ มูลค่ารวม 3.11 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เปิดโครงการใหม่ 26 โครงการ มูลค่ารวม 2.76 หมื่นล้านบาท โดยโครงการใหม่ในปีนี้แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 19 โครงการ มูลค่า 1.61 หมื่นล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 1.5 หมื่นล้านบาท โดยโครงการในปีนี้ 70% เป็นโครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑล ส่วนอีก 30% เป็นโครงการในต่างจังหวัด โดยมีจังหวัดนครราชสีมาที่เป็นจังหวัดใหม่ที่บริษัทจะเข้าไปพัฒนาโครงการ
ด้านงบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 6 พันล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการซื้อที่ดินเน้นในเขตกรุงเทพฯเป็นหลัก ซึ่งบริษัทมองเห็นการเติบโตและการเปิดที่ดินขายมากขึ้น หลังจากมีแผนการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ ประกอบกับราคาที่ดินปัจจุบันในแต่ละปีมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในระดับไม่ต่ำกว่า 10% ทำให้บริษัทจำเป็นต้องมีการเก็บที่ดินเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต อย่างไรก็ตามด้านต้นทุนก่อสร้างในปีนี้บริษัทมองว่ามีแนวโน้มลดลง ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการก่อสร้างลดลงราว 1-2%
ขณะที่อัตรากำไรสุทธิในปี 58 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 23.98% เล็กน้อยจากการบริหารต้นทุนการขายและบริหารที่ดีขึ้น แต่อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงต่ำกว่าปีก่อนที่ 41.67% เนื่องจากการโอนคอนโดมิเนียมศุภาลัยเวลลิงตัน รัชดา ที่ให้มาร์จิ้นต่ำกว่าปกติที่ 40% ส่งผลฉุดอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัท
อนึ่ง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 10 มี.ค. มีมติอนุมัติเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการจ่ายปันผลเป็นไม่ต่ำกว่า 35% จากเดิมที่จ่ายในอัตราไม่ต่ำกว่า 45% นั้นบริษัทมองว่าในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับนโยบายการจ่ายปันผลลดลง หลังจากสถานการณ์การเงินของบริษัทมีความมั่นคง โดยมีกำไรสุทธิและรายได้เติบโต มีหนี้สินอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งบริษัทมีความต้องการใช้เงินทุนเพื่อรองรับการขยายการลงทุนในอนาคต แม้ว่าการปรับลดนโยบายการจ่ายปันผลลดลงจะมีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นในระยะสั้นก็ตาม
"การปรับลดการจ่ายปันผลเป็นไม่ต่ำกว่า 35% จากเดิมไม่ต่ำกว่า 45% เราก็สามารถจ่ายได้ 40% 45% 49% ก็ได้ตามความเหมาะสม ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะปรับนโยบายเพราะบริษัทมีกำไรและรายได้เติบโต มีหนี้ไม่มาก อีกทั้งเราอยากจะมี room มากขึ้นในการจ่ายปันผล และมี room ที่จะสามารถนำเงินมาลงทุนรองรับการเติบโตในอนาคต แต่ในระยะสั้นๆก็กระทบกับผู้ถือหุ้นบ้าง"นายไตรเตชะ กล่าว