โดยปีนี้คาดว่ามูลค่าการเติมเงินโทรศัพท์มือถือผ่านตู้ จะเพิ่มเป็น 4 พันล้านบาท จาก 1.4 พันล้านบาทในปีก่อน ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทราว 100-200 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิราว 40-50 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทจะผลักดันยอดขายสินค้าเชิงพาณิชย์ให้มีสัดส่วนมากขึ้นเป็น 60% จาก 55% ในปีก่อน โดยตั้งเป้าจะมียอดขายตู้เติมเงิน 700-800 ตู้/เดือน หรือราว 7-8 พันตู้ในปีนี้ จากปีก่อนที่มีตู้เติมเงินทั้งหมด 5 หมื่นตู้
นอกจากนี้ยังตั้งเป้าขยายตู้เติมน้ำมันหยอดเหรียญอีก 5 พันตู้ จากปีก่อนที่มีทั้งหมด 7 พันตู้ รวมถึงขยายปริมาณการขาย ตู้น้ำมันหยอดเหรียญให้มากขึ้นด้วย รวมถึงจะเพิ่มจุดจำหน่ายเป็น 44 แห่ง จากปีที่ผ่านมามีอยู่ 22 แห่ง โดยจะทำกิจกรรมทางการตลาดร่วมกับแม็คโครมากขึ้น รวมถึงจะเพิ่มสินค้าใหม่ๆ เช่น ตู้แช่ เพื่อเข้าถึงลูกค้าร้านค้าปลีกมากขึ้นด้วย
สำหรับปีนี้บริษัทไม่มีแผนเปิดสาขาใหม่ เนื่องจากสาขาที่มีอยู่ปัจจุบัน 210 สาขานั้น ครอบคลุมลูกค้าแล้ว แต่จะจัดการบริหารให้สามารถเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น และจะพยายามเพิ่มยอดขายต่อสาขาให้มากขึ้นด้วย
นายบุญยง กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มบัญชีลูกค้าอีก 3-5 พันบัญชี จากปีก่อนที่มีบัญชีลูกค้าอยู่ 1.6 แสนบัญชี ซึ่งจะสามารถเพิ่มพอร์ตสินเชื่อของบริษัทได้อีกราว 300 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีพอร์ตสินเชื่ออยู่ 2.2 พันล้านบาท รวมถึงจะปรับกลยุทธ์ โดยขยายระยะเวลาจากการผ่อนสินค้าเป็น 4 ปี จากเดิม 2 ปี และลดเงินดาวน์สินค้าจาก 10% เหลือ 5% เพื่อช่วยลดภาระในการผ่อนให้กับลูกค้า ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ปีนี้คาดว่าจะทรงตัวจากปีก่อนที่ 6.5%
สำหรับปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนราว 40 ล้านบาท ใช้ซื้อรถบรรทุกน้ำมัน 4 คัน มูลค่าราว 10 ล้านบาท เพื่อให้บริการเติมน้ำมันให้แก่ลูกค้าตู้เติมน้ำมันหยอดเหรียญใน 4 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต นครสวรรค์ กำแพงเพชร สุโขทัย และอีกราว 15 ล้านบาท ใช้ในการปรับปรุงสาขาในการจำหน่ายสินค้าเชิงพาณิชย์ของบริษัทที่มี 12 สาขา ส่วนที่เหลือใช้ปรับปรุงตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือจำนวน 8 พันตู้ เพื่อให้เป็นระบบใหม่ ขณะที่ตั้งงบการตลาดไว้อีกราว 100 ล้านบาท เพื่อเป็นการจัดกิจกรรมกระตุ้นตลาดในปีนี้
นายบุญยง กล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าซื้อกิจการบริษัทขนาดเล็กๆ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียด เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบฐานะทางการเงินของบริษัทดังกล่าวก่อน ส่วนการทำธุรกิจนาโนไฟแนนซ์นั้น บริษัทไม่มีความ สนใจ เนื่องจากมองว่าธุรกิจดังกล่าวมีความเสี่ยงสูง และไม่สามารถทราบได้ว่าลูกค้าจะนำเงินกู้ที่ได้ไปใช้ด้านใดบ้าง อีกทั้งมองว่าการดำเนินธุรกิจดังกล่าวไม่เหมาะกับวัฒนธรรมขององค์กร ที่จะเน้นเรื่องการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อสินค้า ให้ลูกค้านำสินค้าดังกล่าวไปประกอบอาชีพจริงๆ