นางสาวสุธางค์ คนศิลป กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ทรีนิตี้ เปิดเผยว่า สำหรับดีล IPO ได้แก่ บริษัทในหมวดอุตสาหกรรมพลังงาน เช่าซื้อ ธุรกิจการเงิน ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านและสำนักงาน สื่อและสิ่งพิมพ์ ซึ่งมีกำหนดที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ในปีนี้ 2-3 บริษัท
ด้านนายชาญชัย กงทองลักษณ์ กรรมการอำนวยการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าเพิ่มลูกค้ากลุ่ม High Network ตามแผนในอีก 3 ปีข้างหน้า (ปี 58-60) เฉลี่ยปีละ 20% จากสิ้นปี 57 บริษัทมีกลุ่มลูกค้าดังกล่าวอยู่ที่ 400 อัตรา เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สร้างผลตอบแทนที่ดีและไม่มีความอ่อนไหวกับค่าคอมมิชชั่นมากนัก
ขณะเดียวกันบริษัทจะเน้นด้านงานวาณิชธนกิจ(IB)ในการทำ IPO ดีล M&A และอื่นๆ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงมากขึ้น และเป็นการเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้า โดยตั้งเป้ารายได้จากงาน IB แตะ 200 ล้านบาทในปี 60 จากสิ้นปี 57 มีรายได้จากงาน IB ราว 53.59 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 6.38% ของรายได้รวม
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ก็จะยังเป็นรายได้หลักของบริษัท โดยปัจจุบันมีจำนวนบัญชีลูกค้า 24,000 บัญชี ซึ่งเป็นบัญชีที่ Active จำนวน 30% ของบัญชีทั้งหมด ซึ่งบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตร์)ในปีนี้ใกล้เคียงหรือทรงตัวจากปีก่อนที่ระดับ 2.67% เนื่องจากแนวโน้มการแข่งขันมีความรุนแรงขึ้น หลังจากมีบริษัทใหม่เข้ามาเปิดตัวอีก 2 บริษัท จากปีก่อนที่มีเพิ่มเข้ามา 3 ราย
"การมีผู้เลทนรายใหม่เข้ามาในตลาดมากขึ้นจะทำให้กาข่งขันเพิ่มขึ้นแล้ว ยังส่งผลให้อัตราค่าคอมมิชชั่นทั้งตลาดมีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนที่ 1.14% ของมูลค่าการซื้อขาย โดยอัตราค่าคอมมิชชั่นของบริษัทในปีก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 1.14-1.15% ของมูลค่าการซื้อขาย หรือใกล้เคียงกับตลาด"นายชาญชัย กล่าว
ทั้งนี้ แนวโน้มปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท/วัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย 3.9 หมื่นล้านบาท จากปัจจัยในประเทศและต่างประเทศที่ส่งผลดีกับตลาดทุน เช่น การใช้มาตรการ QE ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ทำให้สภาพคล่องในระบบสูงขึ้น ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงมีผลตอบแทนที่ดี ประกอบกับความคาดหวังแผนการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แม้ว่าหนี้สินภาคครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง
"ปริมาณการซื้อขายของทั้งตลาดที่เรามองว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท จะเห็นได้จากในช่วงเดือนมกราคมปริมาณการซื้อ-ขายเฉลี่ยอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท เดือนกุมภาพันธ์ปริมาณการซื้อ-ขายเฉลี่ยอยู่ที่ 5.7 หมื่นล้านบาท และต้นเดือนมีนาคม-12 มีนาคม ปริมาณการซื่อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท ภาพรวมในเดือนต่อๆไปก็น่าจะเป็นไปในเทรนด์แบบนี้"นายชาญชัย กล่าว
ขณะที่นางแก้วกมล ตันติเฉลิม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธนบดีธนกิจ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวม(AUM)ในธุรกิจด้านการจัดการกองทุนส่วนบุคลลในปีนี้เพิ่มเป็น 3 พันล้านบาท จากปีก่อน 2.9 พันล้านบาท ขณะนี้ใกล้เคียงเป้าหมายแล้ว และอยู่ระหว่างปรับเป้าหมายใหม่ให้เพิ่มขึ้น อีกทั้งตั้งเป้าสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าอย่างน้อย 15% โดยในปี 57 อยู่ที่ระดับ 15% ซึ่งในช่วงตั้งแต่ 1 ม.ค-6 มี.ค. 58 บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยให้กับลูกค้าแล้วที่ 5%
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นว่า มองการแถลงนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันนี้มีโอกาสแค่ 20% เท่านั้นที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน มิ.ย.58 และมีโอกาส 50% ที่จะปรับดอกเบี้ยขึ้นในเดือน ก.ย.58 แต่โอกาสสูงสุด 70–80% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.58
นอกจากนี้คาดว่าธนาคารยุโรป (ECB) จะยังทำการซื้อสินทรัพย์ประเภทพันธบัตร หรือ QE จนกระทั่งเดือนกันยายน 59 และมีโอกาสทำต่อเนื่องนานกว่านั้น นอกจากนี้ยังมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB จะอยู่ในช่วงกลางปี 61
“ช่วงสั้นตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีการฟิ้นตัว เนื่องจากค่าเงินดอลล่าห์ได้สะท้อนเรื่องผลต่างอัตราดอกเบี้ยของ US และ EURO ไปแล้ว ตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสประสบกับวิกฤติเงินทุนไหลออกเหมือน QE Tapering ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางปี 56 อีกครั้งในกลางไตรมาส 2 ประกอบกับวิกฤติทางด้านยุโรปอาจจะปะทุอีกครั้งหนึ่ง และอาจจะเป็นจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่ EPS ของตลาดหุ้นไทยยังถูก Downgrade แต่มองว่าเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะเข้าทำการสะสมหุ้นในกลางไตรมาส 2 อีกครั้ง เนื่องจากการที่เฟดเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยไปสู่ช่วงปลายปี ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นในครึ่งปีหลังของปี 58 ทำให้หุ้นมีโอกาส Rally อีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของสภาพคล่องทั่วโลก ในขณะที่จีนเริ่มมีมาตรการการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้คคาดว่าอยู่ที่ 1,680–1,700 จุด ที่ระดับ P/E ประมาณ 14.3เท่า"นายวิศิษฐ์ กล่าว