สำหรับธุรกิจการจัดนิทรรศการในปีนี้ยังมีลูกค้าเป็นกลุ่มภาคเอกชนเป็นหลัก โดยบริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดและแคมเปญต่างๆ เพื่อตอบรับกับความต้องการลูกค้ามากขึ้น ส่วนลูกค้าภาครัฐ ขณะนี้ก็ได้รับงานดโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนเข้ามาแล้ว และยังเดินหน้าเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานของกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นงานที่บริษัทมีประสบการณ์อยู่แล้ว
ขณะที่ธุรกิจนิตยสาร ซึ่งขณะนี้มีอยู่จำนวน 3 แบรนด์นั้น จะหันมาเน้นด้านสื่อออนไลน์มากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ส่วนรายการทีวีนั้น ปัจจุบันมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ดังนั้น ในปีนี้จึงยังไม่มีแผนขยายการผลิตรายการเพิ่มเติม แต่จะเน้นที่บริหารโปรดักซ์ชั่นเฮ้าส์ให้กับรายการอื่น ๆ
"ภาพรวมปีนี้เราตั้งเป้ารายได้ไว้เติบโต 10% และน่าจะส่งผลถึงตัวกำไร ที่จะสามารถกลับมามีกำไรได้ตามผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ซึ่งบริษัทฯก็มีการทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชน มีการปรับกลยุทธ์ แคมเปญให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้น"นางเอื้อมพร กล่าว
ส่วนการลงทุนในปีนี้จะเป็นการปรับระบบ DATA Center เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ในการจัดแคมเปญให้ตรงกับความต้องการลูกค้า
นางเอื้อมพร กล่าวถึบงการจัดงานคอมมาร์ต ซัมเมอร์เซล 2015 ระหว่างวันที่ 19-22 มี.ค.ว่า บริษัทฯคาดหวังเงินสะพัดจากงานนี้ในระดับใกล้เคียงกับงานที่จัดขึ้นในปี 57 ที่ประมาณ 2,700 ล้านบาท คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานราว 7 แสนคน รวมทั้ง 4 วัน สินค้าหลักในงานยังเป็นโน๊ตบุ๊คและสมาร์ทโฟน ซึ่งจะมีการลดราคาพิเศษเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงปิดภาคเรียน
บริษัทคาดว่าในปีนี้จะมีการจัดงานคอมมาร์ตทั้งหมด 3 ครั้ง โดยครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในช่วงเดือน มิ.ย.58 จะมีสินค้าใหม่ๆเข้ามา เช่น เกมส์ ,E-sport เป็นต้นและครั้งสุดท้ายของปีจัดในช่วงเดือนพ.ย.58
นางเอื้อมพร กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรม IT ในปีนี้จะดีกว่าปีก่อนที่หดตัวจากผลกระทบการชะลอโครงการต่างๆ ของภาครัฐ และการจับจ่ายใช้สอยภาคประชาชนลดลง ขณะที่ปีนี้มองว่าสิ่งที่จะเข้ามากระตุ้นกำลังซื้อให้อุตสาหกรรม IT เติบโตขึ้น จะมาจากการเปิดตัวระบบปฎิบัติการใหม่ๆ และการประมูล 4G ซึ่งหากเป็นไปได้จริงจะส่งผลต่อตลาดอุปกรณ์ที่จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเพื่อรองรับ 4G มากขึ้น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอีกทางหนึ่งด้วย
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการเติบโตของตลาด IT ปีนี้ แบ่งเป็น สมาร์ทโฟน น่าจะเติบโตได้ราว 17% โน๊ตบุ๊ค 7-10% ขณะที่แทปเลตกลับปรับตัวลดลงถึง 23% เป็นผลจากการใช้งานที่ยังมีข้อจำกัด ไม่สามารถมาทดแทนโน๊ตบุ๊คได้ทั้งหมด