สำหรับธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในปีนี้คาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ที่ 11% จากระดับ 10.56% ในปีก่อน ภายใต้คาการณ์ว่ามูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้อยู่ที่ราว 50,000 ล้านบาท จาก 45,000 ล้านบาทในปีก่อน
ขณะที่ตั้งเป้าสิ้นปีนี้จะเพิ่มบัญชีลูกค้าทั้งหมดเป็น 1.95 แสนบัญชี โดยมีเป้าหมายเจาะกลุ่มนักลงทุนใหม่เพิ่มขึ้นราว 1.5-2 หมื่นราย จากปัจจุบัน MBKET มีบัญชีลูกค้า 1.7 แสนบัญชี เป็นบัญชีที่เคลื่อนไหวสม่ำเสมอราว 8 หมื่นบัญชี หรือ 50% ซึ่งในจำนวนนี้เป็นลูกค้ารายใหญ่ราว 5% และจะยังรัษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในการให้บริการ รวมถึงเน้นการวิจัยและพัฒนา(R&D)ส่วนงานด้าน IB ว่า ในปีนี้คาดว่าจะมีงานที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) และมีการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน มีงานที่ปรึกษาทางการเงินในการควบรวมกิจการและซื้อกิจการ (M&A) และงานที่ปรึกษาในการดำเนินการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) รวมกันไม่น้อยกว่า 10 ดีล คิดเป็นมูลค่าการระดมทุนทั้งหมดกว่า 10,000 ล้านบาท
นายมนตรี กล่าวว่า MBKET มองเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ปีนี้อยู่ที่ 1,650 จุด บนฐานกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโต 15% จากฐานต่ำในปี 57 โดยมองว่าการบริโภคภายในประเทศและภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐที่เริ่มเร่งตัวมากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยคงยังไม่ได้เติบโตดีมากนัก แต่ก็เชื่อว่าจะฟื้นกลับมาเติบโตได้ดีในระยะต่อไป และยังต้องจับตาสถานการณ์ทางการเมืองทั้งในและต่างประเทศด้วย
กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ยังไม่ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วนั้น ถือว่าส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย จากก่อนหน้านี้มีหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงกลางปี ทำให้เป็นปัจจัยกดดันตลาดพอสมควร มองว่าหากเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยจะต้องมีปัจจัยจากการที่เศรษฐกิจโลกดีขึ้น แต่เมื่อพิจารณาแล้วเศรษฐกิจทั่วโลกไม่ได้ดีตามคาดหมายไว้ ไม่ว่าจะเป็นยุโรปที่ยังต้องใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) ทำให้ค่าเงินอ่อนค่า และปัจจุบันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็จะส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่ามากขึ้น จึงไม่สมเหตุสมผล