สำหรับการลงทุนในครั้งนี้ QTC คาดจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน(IRR)ไม่ต่ำกว่า 15% โดยประเมินรายได้ต่อเดือนราว 18-22 ล้านบาท และจะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 7 ปีในการคืนทุน ซึ่งบริษัทคาดหวังว่าในอนาคตธุรกิจพลังงานจะเข้ามาเพิ่มสัดส่วนรายได้ในโครงสร้างธุรกิจของบริษัทฯ จากปัจจุบันที่รายได้ทั้ง 100% มาจากธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า
นายพูลพิพัฒน์ กล่าวถึงแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ว่า รายได้จะทำสถิติสูงสุดใหม่โดยทะลุ 1 พันล้านบาท หลังจากที่ในอดีตทำได้สูงสุดอยู่ที่ 959 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิของบริษัทหากไม่เกิดปัญหาการเมือง รวมถึงปัญหาเรื่องค่าเงินและความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ อาทิ เหล็ก ก็เชื่อว่ากำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ด้วย
ปัจจุบัน บริษัทฯมีงานในมือ (Backlog) อยู่ราว 300 ล้านบาท เป็นงานภาคเอกชนทั้งหมด โดยจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ทั้งหมดในปีนี้ และขณะนี้รอเซ็นสัญญางานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)ประมาณ 200 ล้านบาท คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในเดือนนี้ ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างยื่นประมูลงานใหม่ของ กฟภ.อีกมูลค่าราว 1 พันล้านบาท คาดว่าในช่วงไตรมาส 2/58 นี้จะรู้ผลการประมูล
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเข้าประมูลงานภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีนี้คาดว่าจะมีงานโครงการโซลาร์ฟาร์มเป็นจำนวนมาก ทำให้บริษัทได้รับอานิสงส์ไปด้วย ขณะที่ลูกค้าหลักของบริษัท ได้แก่ บมจ.ซุปเปอร์บล็อก(SUPER) และ บมจ.เด็มโก้(DEMCO ที่มีงานใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง
นายพูลพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษั่ทตั้งงบลงทุนในปีนี้ราว 50 ล้านบาท เพื่อใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพระบบไอที ระบบขนส่งภายในโรงงาน และใช้ในการวิจัยและพัฒนาสินค้า แหล่งที่มาของเงินลงทุนนั้นจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทและการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบัน QTC มีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E)อยู่ที่ 0.46 เท่า ถือว่าต่ำมาก
"หลังจากที่ภาครัฐไม่ได้มีงานใหม่ออกมาเกือบ 2 ปี แต่ปัจจุบันก็เริ่มออกมาแล้ว ซึ่งทางบริษัทฯก็ได้เข้าร่วมประมูลเพิ่มเติมซึ่งในช่วงไตรมาส 2 ก็จะรู้ผลประมูลและจะรู้ว่าเราได้งานมากน้อยเพียงได ซึ่งปีนี้มีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่องเราจึงมั่นใจว่ารายได้จะทลุ 1 พันล้านบาท และหากไม่มีสถานการณ์ที่เป็นผลกระทบอีก โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมือง บริษัทฯจะก็น่าจะเห็นกำไรในปีนี้นิวไฮได้"นายพูลพิพัฒน์ กล่าว