บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ขาย"หุ้น บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล(JAS)ที่ราคาเป้าหมาย 7.0 บาท/หุ้น มีมุมมองเชิงลบต่อแผนร่วมประมูล 4G และเจาะตลาดธุรกิจให้บริการมือถือ เพราะการแข่งขันกับบรรดาสามผู้ประกอบการมือถือรายใหญ่ในธุรกิจสูงมาก และอัตราการเข้าถึงสำหรับตลาดมือถืออยู่ที่สูงกว่า 100% เทียบกับธุรกิจบรอดแบนด์ที่เพียง 27%
การลงทุนจำนวนมาก 30-40 พันลบ.เทียบกับฐานทุนของ JAS ที่ 12 พันลบ.ณ สิ้นปี 57 ซึ่งจะส่งผลให้ภาระหนี้สำหรับ JAS สูงขึ้น หรือทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง(กำไรต่อหุ้นจะลดลง 33% หากใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมดถูกใช้แปลงสิทธิ)ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจใหม่จะทำให้กำไรและมูลค่าปัจจุบันของ JAS ลดลง
JAS ได้ประกาศแจกใบสำคัญแสดงสิทธิฟรีให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 2.04 หุ้น ต่อหนึ่งหน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ (JAS-W3)อัตราการใช้สิทธิคือ JAS-W3 หนึ่งหน่วยสามารถแปลงเป็นหนึ่งหุ้นสามัญในราคาใช้สิทธิ 4.30 บาท/หุ้นสามัญ ใบสำคัญแสดงสิทธินี้สามารถใช้สิทธิได้ภายในห้าปี นอกจากนี้ JAS ยังประกาศขายหุ้นซื้อคืนในตลาดจำนวน 142.7 ล้านหุ้น
อ้างอิงจาก JAS บริษัทต้องการเจาะตลาดธุรกิจให้บริการโทรศัพท์มือถือ โดยจะเข้าร่วมประมูลใบอนุญาต 4G ในปีนี้ การลงทุนสำหรับธุรกิจใหม่นี้ต้องใช้เงินลงทุนราว 30-40 พันลบ.ซึ่ง JAS มีแผนจะใช้เงินลงทุนจากเงินสดที่เหลือ 11 พันลบ.จากการขายสินทรัพย์เข้า JASIF, เงินกู้ และเงินสดจากการแปลงสิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิ
ด้าน บล. เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ แนะ"ขาย"หุ้น JAS ให้ราคาพื้นฐาน ที่ 6.30 บาท ผลประกอบการในระยะยาวที่คาดถูกบั่นทอนจากธุรกิจใหม่ ซึ่งครองตลาดโดยผู้ประกอบการ 3 เจ้าใหญ่อยู่แล้ว กอปรกับ มูลค่าพื้นฐานภายใต้สมมติฐานหลังใช้สิทธิแปลงสภาพ JAS-W3 ทั้งหมดปีนี้ จะลดลงเหลือ 6.3 บาท
ทั้งนี้ Fair Value ดังกล่าวยังไม่รวมมูลค่าเพิ่ม JAS-W3 ที่แจกฟรี ซึ่งมีมูลค่าทฤษฎี 1.29 บาท/หุ้น จึงอาจเป็นประเด็นเก็งกำไรช่วงสั้น ประกอบกับ ราคาหุ้นที่คาดรีบาวด์หลังปรับตัวลงแรงวานนี้ เพราะ JAS ได้ชี้แจงแล้วว่าจะทำการลดทุนหุ้นที่ซื้อคืนไปทั้งหมด 142.7 ล้านหุ้น โดยไม่ขายหุ้นที่ซื้อคืนไปในตลาดตามที่มีความกังวล อย่างไรก็ตาม ด้วยพื้นฐานหุ้นที่เปลี่ยนไป หากหุ้นรีบาวด์แนะนำให้หาจังหวะขายออกไป