ปัจจุบันประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป มีการใช้รูปแบบ T+2 ตั้งแต่ปี 57 และประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ใช้ T+2 แล้ว ได้แก่ฮ่องกง เกาหลีใต้ และไต้หวัน ส่วนออสเตรเลีย และสิงคโปร์ จะใช้ระบบดังกล่าวในช่วงปี 59-60 ส่วนมาเลเซียกำลังศึกษารูปแบบการใช้ระบบดังกล่าว
"การพัฒนาระบบชำระราคาใหม่นั้นได้มีการพัฒนามาตั้งแต่ปีที่แล้วและในปีนี้ก็น่าจะแล้วเสร็จ และต่อไปทางตลาดหลักทรัพย์ฯก็ไม่จำเป็นต้องมีการลงทุนใหญ่ๆทางด้านนี้อีก เพราะระบบใหม่นั้นสามารถรองรับระบบคำสั่งซื้อขายได้มากกว่าปกติ 3 เท่า (นับจากวันที่พีคที่สุดของปัจจุบัน) อีกทั้งระบบใหม่นั้น จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลที่เป็นเรียลไทม์ของโครงสร้างบัญชีรับฝากรายบุคคลได้ ในขณะเดียวกันช่วงปลายปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะหารือกับบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกในเรื่องการชำระราคาเป็น T+2 ซึ่งก็จะมีการหารือเกี่ยวกับในเรื่องความพร้อม และต้นทุนในการทำว่าคุ้มหรือไม่ กับประโยชน์ที่จะได้รับ" นายบดินทร์ กล่าว
นายบดินทร์ กล่าวต่อว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯได้พัฒนาระบบชำระราคาใหม่ (New Clearing System) ที่จะเริ่มใช้ได้ในช่วงกลางปีนี้ โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทดสอบระบบครั้งที่ 2 จากทั้งหมด 4 ครั้ง ซึ่งเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯค่อนข้างเข้มเพราะบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกจะต้องมีระบบรองรับได้ 100 % และการทดสอบระบบที่ผ่านมา บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกจะต้องตอบคำถามลงไปไม่น้อยกว่า 400 ข้อ เพื่อทดสอบระบบให้ครอบคลุมในเกือบทุกด้าน
ทั้งนี้ ระบบดังกล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้ทัดเทียมกับบริษัทสำนักหักบัญชีชั้นนำของโลก ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม โดยระบบชำระราคาใหม่นี้จะสามารถรองรับในหลากหลายตลาด (Multi- Markets) และการชำระราคาในสกุลเงินต่างประเทศ นอกเหนือจากสกุลเงินบาท (Multi-Currencies) ลดความเสี่ยงของระบบโดยรวมจากการรองรับงานชำระราคาของสินค้าประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์ หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า โดยอยู่บนระบบเดียวกัน (Integrated Clearing System) ในขณะเดียวกันยังเป็นการเพิ่มความรวดเร็วและลดขั้นตอนการปิดสมุดทะเบียนของสมาชิก รองรับการเพิ่มสินค้าและบริการใหม่ๆได้มากขึ้น
นอกจากนี้ยังเป็นการลดภาระการทำงานของสมาชิก และสนับสนุนให้ทำงานในรูปแบบ Straight-Through Processing (STP) มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานไปสู่การปรับเปลี่ยนระยะเวลาการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ (Settlement Cycle)ให้สั้นลงในอนาคต รวมถึงหากมีการเปิดซื้อขายหุ้นหรือสินค้าอื่นๆ ด้วยสกุลเงินต่างประเทศนั้น นักลงทุนสามารถที่จะให้บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) เป็นนายทะเบียน โดยสามารถนำหลักทรัพย์มาฝากที่ TSD ได้ และ TSD ก็จะมีการพัฒนาระบบ Investor Portal เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้ามาตรวจสอบหลักทรัพย์ทั้งหมดของตนเองได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเพื่อเป็นการปกป้องนักลงทุน จากที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามาร์เก็ตติ้งมีการแอบโยกหุ้นของลูกค้าออกไปหรือไม่ โดยทาง ตลท. อยู่ระหว่างหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกเกณฑ์รองรับการดำเนินการดังกล่าว โดยคาดว่าจะสามารถดูได้ในช่วงปลายปีนี้ เพราะปัจจุบันยังติดกฎหมายเรื่องสิทธิส่วนบุคคลอยู่
พร้อมกันนี้ในปัจจุบันทาง TSD อยู่ระหว่างศึกษาและหารือกับทาง ก.ล.ต. รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะนำระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาช่วยให้ผู้ถือหุ้นสามารถใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (Digital Subscription) ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันเป็นการช่วยลดขั้นตอนและงานเอกสารที่จะต้องใช้ในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน