เนื่องจากบริษัททยอยรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล ช้างแรก ไบโอเพาเวอร์ (CRB) ที่มีกำลังการผลิตเสนอขายจำนวน 9.2 เมกะวัตต์ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริษัทจะรับรู้กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 30 เมกะวัตต์ ซึ่งมีโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 โครงการ ประกอบด้วย 1.โรงไฟฟ้าชีวมวล มหาชัย กรีน เพาเวอร์ (MGP) 2.โรงไฟฟ้าชีวมวล ทุ่งสัง กรีน(TSG) และ 3.โรงไฟฟ้า แม่วงศ์ เอ็นเนอยี่(MWE) โครงการทั้งหมดจะเริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้เงินลงทุนในปีนี้ราว 750 ล้านบาทเพื่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยจะมาจากเงินกู้ 70% ส่วนที่เหลือมาจากเงินที่ได้รับจากการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(IPO)
นายเชิดศักดิ์ กล่าวต่อว่า บริษัทคาดว่าในปีนี้จะได้รับสัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA) ครบตามแผนงาน 150-200 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน 60 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มทยอยได้รับตั้งแต่เดือน มิ.ย.เป็นต้นไป ซึ่งเป็นไปตามแผนการดำเนินธุรกิจที่บริษัทฯได้ตั้งเป้าหมายว่าจะมีกำลังการผลิต 150-200 เมกะวัตต์ภายในปี 62 นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นเพื่อลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลาว ขนาดกำลังการผลิต 40 เมกะวัตต์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 59
สำหรับแผนการเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวลในประเทศที่อยู่ระหว่างการเจรจา 3-5 แห่งนั้น ขณะนี้คงอาจต้องชะลอออกไปก่อน เพราะโรงไฟฟ้าที่เจรจานั้นอยู่ภายใต้ระบบการรับซื้อแบบ Adder แต่ TPCH ต้องการเข้าสู่ระบบ FiT ซึ่งมีอัตรากำไรมากกว่า เชื่อว่าจะทำให้บริษัทฯคืนทุนได้เร็วกว่าระบบ Adder ถึง 2 ปี