ภายใต้สมมติฐานว่าการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางใหม่นี้ประสบความสำเร็จ 100% จะส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรเพิ่มขึ้น 6 เท่า แต่หากสำเร็จ 50% จะมีกำไรเพิ่มขึ้น 3 เท่า และ หากสำเร็จ 25% จะมีกำไรเพิ่มขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบจากปีก่อนมีกำไรอยู่ที่ 118.77 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 58 จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดแตะ 2,000 ล้านบาท จากปี 57 มีรายได้อยู่ที่ 425.81 ล้านบาท
ทั้งนี้นอกจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางใหม่อย่าง Digital Marketing ที่สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศผ่านช่องทางบริการตรง และ Tele-marketing ที่เริ่มกลับมามียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นในปลายไตรมาสแรก
นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/58 คาดว่าจะมียอดขายลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำลังซื้อหดตัว แต่เชื่อมั่นว่าจะกลับมาดีขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 2/58 และน่าจะเห็นความชัดเจนได้ในไตรมาส 3/58 หลังมีการเปิดการจำหน่ายอย่างเป็นทางการผ่านช่องทาง Digital Marketing ซึ่งมองว่าผลิตภัณฑ์ที่จะเข้ามาเป็นตัวผลักดันยอดขายคือ สินค้า LIV สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV และ AIDS, ผลิตภัณฑ์ลดความอ้วน และข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น
นอกจากนี้บริษัทฯยังมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจตามปณิธานการเป็นบริษัทมหาชนที่ร่วมสร้างและร่วมรับผลประโยชน์โดยมหาชนด้วยเช่นกัน โดยผลประกอบการในช่องทาง APCO Digital Marketing และช่องทางอื่นๆจะทำให้บริษัทมหาชนร่วมสร้างมหาชนนี้ มีกำไรเพิ่มอีกเป็นเท่าทวี ซึ่งบริษัทฯจะทำการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 280 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.10 บาท/หุ้น ด้วยการให้ผู้บริโภคเป็นผู้มีสิทธิ์ในการจองซื้อ โดยใช้ยอดการซื้อผลิตภัณฑ์ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.57 ถึง วันก่อนการจองหุ้นในช่วงปลายเดือน เม.ย.58 เป็นตัวกำหนดสิทธิ์ในการจองซื้อ ยอดซื้อผลิตภัณฑ์ 1 บาทมีสิทธิ์ในการจองซื้อ 1 หุ้น และสมนาคุณเพิ่มหุ้นอีก 5% ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิ์จองซื้อโดยไม่มีค่าใช้จ่าย การเพิ่มทุนลักษณะนี้เมื่อเสร็จสิ้นโครงการจะทำให้ APCO มีผลกำไรเพิ่มขึ้นทันที จึงจะไม่เกิด Dilution จึงเป็นประโยชน์แก่ผู้ถือหุนเดิม และผู้ที่ซื้อหุ้นใหม่จะได้รับประโยชน์ขจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นด้วย