ปัจจุบันดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ในช่วงที่น่าสนใจ โดยราคาหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมหลายกลุ่มปรับตัวลดลง ในขณะที่ความสามารถในการทำกำไรและปัจจัยพื้นฐานไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ภาพรวมของกองทุนหุ้นทริกเกอร์ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนยังคงต้องการกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะเวลาสั้นๆ
"เราเชื่อว่ากองทุนดังกล่าวจะประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายเช่นเดียวกับกองทุนที่ออกมาก่อนหน้านี้ 3 รุ่นคือ ทริกเกอร์ 3% พลัส 3% ฟันด์ A, B และ C ที่มียอดจองเต็มมูลค่าในเวลาวันเดียว โดยนโยบายการลงทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภายในประเทศที่ได้รับผลประโยชน์จากแผนการลงทุนในภาครัฐและภาคเอกชน ที่คาดว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคาร สถาบันการเงิน และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และด้วยการเปลี่ยนกลยุทธ์ที่เน้นการลงทุนในหุ้นที่สร้างผลตอบแทนดีในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งยังมีการปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการคัดเลือกหุ้นและน้ำหนักการลงทุน" นายสมิทธ์กล่าว
นายสมิทธ์ กล่าวอีกว่า บริษัทมองว่าเป้าหมายของดัชนี SET สิ้นปี 58 ที่ระดับ 1,660-1,720 จุด คิดเป็น P/E Ratio ที่ 14-15 เท่า ซึ่งเมื่อเทียบกับดัชนี SET ในปัจจุบันที่ 1,513.08 จุด (ข้อมูล ณ วันที่ 23 มี.ค.58) คาดว่าจะมีผลตอบแทนประมาณ 9.7%- 13.6%
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 58 การลงทุนในตลาดทุนยังเป็นสินทรัพย์ที่จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยรวม และจากการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินของประเทศเศรษฐกิจสำคัญ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำ และมีเม็ดเงินสภาพคล่องเข้ามาในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ในหลายภูมิภาค