ด้านระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)ในกลุ่มลูกค้าบรรษัทนั้น ธนาคารจะรักษาระดับให้อยู่ให้ไม่เกิน 1.5% ในสิ้นปี 58 จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 1% โดยลูกค้าในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่มีศักยภาพและธนาคารมีการดูแลเป็นอย่างดี เชื่อว่าจะทำให้ NPL อยู่ในระดับที่ต่ำ
สำหรับภาพรวมของผู้ประกอบการไทยในปีนี้จะต้องให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนและความเสี่ยงเพื่อเสริมภูมิต้านทานทางการเงิน เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวน ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินหลัก ประกอบกับสัญญาการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักในตลาดโลกที่ยังไม่ชัดเจน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ
อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง รวมไปถึงภาพรวมของการส่งออกที่ปีนี้คาดว่าจะทรงตัว ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง และส่งผลกระทบต่อความสารมารถในการทำกำไรของบริษัทในไทยลดลง 1-2% ตามการลดลงของยอดขายที่ 1-2% เช่นเดียวกัน โดยปัจจุบันธนาคารประเมินว่าอัตราการทำกำไรของบริษัทจะอยู่ที่ 15% และยอดขาย 11% ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องให้ความสำคัญต่อการบริหารต้นทุนและความเสี่ยงเพื่อเสริมภูมิต้านทานทางการเงิน
ทั้งนี้ ธุรกิจจะเติบโตไปได้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจผันผวน จำเป็นที่จะต้องรวมกลุ่มเป็นพันธมิตรในเครือข่ายอุตสาหกรรมหรือห่วงโซ่ธุรกิจ (Value Chain) ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย และเวลาในการบริหารจัดการที่จะส่งผลโดยตรงต่อต้นทุน ซึ่งการรวมกลุ่มพันธมิตรยังสามารถสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่เป็นต้นน้ำของอุตสาหกรรมหลักซึ่งมีความแข็งแกร่งทางธุรกิจมากที่สุดได้มีการเปิดตลาดในภูมิภาค AEC บ้างแล้ว โดยเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าโครงการการลงทุนในต่างประเทศจาก 8 แสนล้านบาทเป็นกว่า 1 ล้านล้านบาท
ขณะที่ธนาคารตั้งเป้าหมายการให้บริการ K-Value Chain Solution ไปยังธุรกิจต่างๆ เช่น ขนส่ง อาหารและเครื่องดื่ม เกษตรอุตสาหกรรม และธุรกิจค้าส่ง เป็นต้น ผ่านการให้คำแนะนำและการจับคู่ทางธุรกิจ รวมถึงการส่งเสริมการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศด้วย รวมไปถึงการขึ้นแท่นเป็นธนาคารหลักในการทำธุรกรรมของลูกค้าธุรกิจ