บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์หลังมีข่าวว่าซาอุดิอาระเบียและประเทศพันธมิตรเริ่มเปิดฉากโจมตีกองกำลังติดอาวุธฮูตีในประเทศเยเมนแล้ว การปรับขึ้นของราคาน้ำมันดังกล่าวทำให้ราคาหุ้นกลุ่ม Oil & Gas ในเอเชียเช้าวันนี้มีการปรับขึ้นราว 0.5-1.0%
ด้วยเหตุนี้คาดว่าราคาหุ้นกลุ่มพลังงานในบ้านเรามีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยมอง บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP)มีโอกาสได้รับ Sentiment เชิงบวกระยะสั้น
ด้านบล.เคจีไอ(ประเทศไทย)ระบุว่า แนวโน้มของผู้ผลิตต้นน้ำอย่าง PTTEP ยังเป็นบวกในระยะอีก 12 เดือนข้างหน้า เนื่องจากคาดว่าอุปทานน้ำมันจะชะลอตัวลงในครึ่งหลังของปีนี้
ทั้งนี้ ยังคงเชื่อว่าราคาน้ำมันจะฟื้นตัวขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้ แม้ว่าราคาจะอ่อนตัวลงในช่วงนี้ โดยยังมองว่าการผลิตไม่สามารถยืนอยู่ได้ในระยะยาวที่ระดับราคาในปัจจุบัน และน่าจะเห็นปริมาณการผลิตลดลงในครึ่งหลังของปีนี้ การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันจากอิหร่านเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดต่อแนวโน้มราคาน้ำมันในมุมมองของเรา ซึ่งคาดว่าการยกเลิกดังกล่าวน่าจะค่อยๆ ทยอยยกเลิกเพื่อบรรเทาผลกระทบทางลบที่จะเกิดกับบริษัทน้ำมันสหรัฐและบรรดานักล็อบบี้ แม้ว่าจะมีบริษัทหลายแห่งที่ดำเนินการโดยมีกระแสเงินสดติดลบ
แต่กิจกรรม M&A ในธุรกิจต้นน้ำก็ยังอยู่ในภาวะชะงักงันเนื่องจากมุมมองในการประเมินราคาที่แตกต่างกันของผู้ซื้อ ผู้ขาย และความพร้อมในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดย PTTEP ยังอยู่ในสถานะที่ดีที่จะทำดีล M&A เพื่อเข้าซื้อกิจการผลิตปิโตรเลียมใน ASEAN เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิต่ำเพียงแค่ 0.1x และมีเงินสดในมือ ถึง 1.3 แสนล้านบาท