"ปีนี้เราคาดรายได้จะเติบโตประมาณ 10-15% และกำไรสุทธิก็มีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งคาดว่ายอดขายของเราคงจะมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในธุรกิจเดิม ขณะที่ธุรกิจใหม่ที่บริษัทฯได้ไปซื้อโรงงานมาตั้งแต่ปีก่อนจะเริ่มเริ่มรู้รายได้ในช่วงปลายไตรมาส 2-ต้นไตรมาส 3 ซึ่งเราจะออกผลิตภัณฑ์ทั้งระดับล่างและระดับบน เราคาดหวังว่าจะมีรายได้จากธุรกิจนี้ 15-20 ล้านบาท/ปี และอนาคตจะมีกำไรสุทธิเป็นสัดส่วน 15-20% ของกำไรสุทธิทั้งหมด"นายพีรเจต กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการอีก 3 แห่ง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะได้ข้อสรุปเมื่อได โดยปัจจุบันบริษัทมีเงินสดในมือถึง 150-200 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) แค่ 0.82 เท่า ถือว่ายังมีความสามารถขยายธุรกิจได้อีกมาก
"เรามีเงินสดในมือค่อนข้างมาก เราจึงมองหาการเข้าซื้อกิจการใหม่ๆเพื่อมเติม ซึ่งเรามองในธุรกิจที่มีรายได้เข้ามาต่อเนื่อง และเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ยังไม่สามารถคาดการได้ว่าจะเจรจาแล้วเสร็จเมื่อได เราก็ไม่ได้รีบที่จะซื้อเพราะในธุรกิจของเราเองก็ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเรามีเงินสดเยอะจึงอยากหาแนวทางการลงทุนอื่นๆเพิ่มเติบ"นายพีรเจต กล่าว
นายพีรเจต กล่าวว่า บริษัทมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่ถึงจุดต่ำสุด แต่เชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะค่อยๆฟื้นตัวได้ ซึ่งแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/58 ยอดขายอาจจะลดลงเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ไม่ต่ำกว่า 9% จากการเลือกขายสินค้าที่มีมูลค่าไม่สูงแต่กำไรยังเท่าเดิมได้