ในช่วง 3 เดือนแรกธนาคารสามารถระดมเงินฝากของรายย่อยได้กว่า 1 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายระดมเงินฝากทั้งปี 58 ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากประชาชนหันมาออมเงินมากขึ้น หลังเกิดความไม่มั่นใจในภาะเศรษฐกิจของประเทศที่ยังไม่เห็นทิศทางการเติบโตที่ดี ทำให้การจับจ่ายใช้สอยลดลงและมีการออมสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเงินฝากของธนาคารให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ เช่น การลดระยะเวลาเงินฝากประจำจาก 17 เดือน เหลือ 3 เดือน ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยปรับลงลดลงจาก 3.5% เป็น 2.35% เนื่องจากปัจจุบันลูกค้ามีความต้องการฝากเงินที่มีระยะสั้นมากขึ้น อีกทั้งในปัจจุบันสภาพคล่องของธนาคารยังมีเพียงพอในการรองรับการปล่อยสินเชื่อได้
ด้านสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันของธนาคารในช่วง 3 เดือนแรกเติบโตชะลอตัวลง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไทยยังไม่ดี ทำให้การใช้จ่ายลดลง โดยธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ไม่มีหลักประกันไปได้แล้ว 300-400 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ จากเป้าหมายทั้งปีที่ 8 พันล้านบาท-1 หมื่นล้านบาท
ขณะที่สินเชื่อบ้านยังมีการเติบโตในระดับที่ดี แต่ไม่ได้สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย 3 เดือนแรกธนาคารปล่อยสินเชื่อบ้านไปแล้ว 3-4 พันล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งธนาคารมองว่าตลาดนยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยค่อนข้างมาก แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของประชาชนยังไม่ฟื้นกลับมาดี อีกทั้งกำลังซื้อยังชะลอตัว ทำให้การตัดสินใจซื้อสินทรัพย์เสี่ยงในระยะยาวลดลงบ้าง แต่ถือว่ายังมีความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อในระดับหนึ่งอยู่
"ด้วยภาวะเศรษฐกิจไทยตอนนี้ที่ยังไม่ฟื้นตัวขึ้นก็ส่งผลให้คนส่วนใหญ่มองว่าอะไรที่ประหยัดได้ก็ควรประหยัด ซึ่งจะเห็นได้จากสินเชื่อไม่มีหลักประกันในช่วง 3 เดือนแรกของธนาคารลดลง แต่สินเชื่อบ้านก็ยังเติบโตได้ดี แต่ไม่แรงเท่าปีก่อน ซึ่งการตัดสินใจอาจจะลดลงบ้างแต่ความมั่นใจซื้อสินทรัพย์เสี่ยงในระยะยาวก็ยังมีอยู่ ส่วนปีนี้ถ้าเศรษฐกิจยังไม่มีทิศทางที่ดีเทรนด์ของคนก็จะหันไปออมมากกว่า เห็นได้จากยอดระดมเงินฝาก 3 เดือนแรกของธนาคารโตเร็วมากมาอยู่ที่ 1 หมื่นกว่าล้านบาท ซึ่งใกล้ๆกับยอดระดมเงินฝากทั้งปีที่แล้ว"นายอดิศร กล่าว
ทั้งนี้ทิศทางของการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ยังคงต้องรอการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ประกอบกับการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี ซึ่งเข้าสู่ช่วงกลางปีของปีงบประมาณ โดยการเบิกจ่ายต่างๆของภาครัฐนั้นคาดว่าจะออกมาแล้วบางส่วน แต่จะต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพักกว่าเงินจะหมุนเวียนเข้าสู่ภาคครัวเรือน อีกทั้งโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆหากมีการเริ่มอย่างจริงจังจะเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสายธุรกิจรายย่อยปีนี้ คาดว่าจะลดลงอยู่ที่ระดับ 2.2% จากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.4% โดยธนาคารเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นหลังมีการปรับปรุงระบบการติดตามหนี้และการเร่งรัดชำระหนี้ โดยการส่งข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือเพื่อเตือนลูกค้าให้มีการชำระเงินให้ตรงต่อเวลา และการปรับปรุงนโยบายการบริหารหนี้ของธนคารทำให้ NPL ต่ำลงจากปีก่อน