EMC เล็งเปิดเกมรุกอสังหาฯ แนวรถไฟฟ้าเขต CBD กทม.ต่อยอด 8 โครงการหลัก

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 3, 2015 14:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.อีเอ็มซี(EMC) เปิดเกมรุกตลาดที่อยู่อาศัยกลางกรุงชิงพื้นที่แนวรถไฟฟ้าในเขต CBD ชึ้นคอนโดมีเนียม ขึ้นลิสต์ 10 ทำเลเจรจาซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ ผลักดันรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตต่อเนื่อง หลังจากประกาศขยายสายธุรกิจรุกภาคอสังหาฯ เต็มตัว จากการเดินหน้าเข้าซื้อกิจการและปั้นโครงการเองรวม 8 โครงการหลักทั้งในกรุงเทพ-ต่างจังหวัด ตั้งเป้ากวาดรายได้ 5 ปีทะลุ 1.3 หมื่นล้านบาท ลุ้นล้างขาดทุนสะสมหมดภายใน 2-3 ปี

"เราสนใจทั้งเขตเศรษฐกิจใหม่ และเรสซิเดนท์กลางเมืองในย่าน CBD area ตามแนวรถไฟฟ้า เช่นในย่านสุขุมวิทก็เป็นทำเลที่สนใจ เราคุยอยู่ 50 แปลง แต่มีอยู่ในใจแล้ว 10 แปลง" นายเศรษฐวัจน์ ตั้งวัชรพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานอสังหาริมทรัพย์ EMC กล่าว

ปัจจุบัน บริษัทกำหนดแผนลงทุนระยะ 5 ปี มูลค่ารวมกว่า 17,400 ล้านบาท โดยในปีนี้เข้าซื้อและพัฒนาโครงการอสังหาฯ รูปแบบต่างๆ รวม 8 โครงการ คิดเป็น มูลค่ารวม 6,530 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่เข้าซื้อ 7 โครงการ ประกอบด้วย นอร์ธ บีช รีสอร์ท บางแสน และ นอร์ธ แลนด์ คอนโดมีเนียม มูลค่ารวม 2,114 ล้านบาท, โครงการสเตชั่น วัน ไชน่าทาวน์ 657 ล้านบาท, สยามไอยรา รีสอร์ท ชลบุรี มูลค่า 360 ล้านบาท รวมทั้ง อเมริกัน ทาวน์, สยามธารามันตรา และ เวนิสตะวันออก รวมกว่า 2,150 ล้านบาท

ส่วนโครงการที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองในปีนี้ ได้แก่ เดอะแลนด์ มาร์ค คอมมูนิตี้มอลล์ ขนาด 21 ไร่ ที่ ในมหาชัย จ.สมุทรสาคร มูลค่า 1,250 ล้านบาท เป็นที่ดินเช่าจากการรถไฟแห่งประเทศไทย สัญญา 30 ปี คาดว่าจะเปิดขายพื้นที่กลางปี 58 ก่อสร้างแล้วเสร็จในปลายปี 60

“ตั้งแต่ปี 59-62 EMC จะพัฒนาโครงการทั้งไฮไรซ์และโลว์ไรซ์ไม่น้อยกว่า 8 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 10,800 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าว่าภายในปี 58 จะสามารถรับรู้รายได้ 1,050 ล้านบาท และจะเติบโตกว่า 150% ในปี 59 หลังจากนั้นบริษัทจะรักษาระดับการเติบโตอยู่ที่ 10% ไปจนถึงปี 62 ทำให้บริษัทฯ มียอดรายได้กว่า 13,230 ล้านบาทภายใน 5 ปี"นายเศรษฐวัจน์ กล่าว

นายศิริพงศ์ ว่องวุฒิพรชัย กรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ EMC เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการปี 58 จะสามารถพลิกกลับมามีกำไรอย่างมีนัยสำคัญ จากปีก่อนมีผลขาดทุน 203.69 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้อัตรากำไรสุทธิสูงที่ 15-21% มากกว่าธุรกิจก่อสร้างที่มีอัตรากำไรสุทธิเพียงหลักเดียว โดยจะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เข้ามาบางส่วนตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/58 จากไตรมาส 1/58 ที่คาดว่าผลการดำเนิงานจะใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ดังนั้น บริษัทจึงมั่นใจว่ารายได้ทั้งปีจะเติบโตไปตามเป้าหมาย 1.95 พันล้านบาท ซึ่งจะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจก่อสร้าง ในสัดส่วน 50:50 โดยขณะนี้ธุรกิจก่อสร้างบริษัทฯอยู่ระหว่างการเข้าประมูลงานก่อสร้างอาคารของเอกชนและราชการมูลค่ารวมกว่า 5 พันล้านบาท คาดว่าจะได้งานราว 2,100 ล้านบาท โดยจะเริ่มทยอยประกาศผลการประมูลตั้งแต่ไตรมาส 2/58 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม บริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ในปัจจุบันกว่า 800 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในปีนี้กว่า 700 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าของการออกหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง(PP) มูลค่า 1.2 พันล้านหุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.85 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับนักลงทุน ซึ่งบริษัทฯสนใจผู้ที่มีแลนแบงก์อยู่ในมือค่อนข้างมาก คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงเดือน เม.ย.นี้ โดยเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน บริษัทฯมีแผนในการนำไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต และใช้สำหรับการซื้อที่ดินเพื่อรองรับโครงการในอนาคต

ด้านนายชุมพล อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ EMC กล่าวว่า ถึงเวลาที่เราจะนำความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์มาต่อยอดธุรกิจ บริษัทฯ จึงเดินหน้าขยายธุรกิจสู่สายอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้กลยุทธ์ในการ ขยายธุรกิจด้วยการเข้าซื้อกิจการ ควบคู่กับการพัฒนาโครงการของตัวเอง และยังได้เสริมความแข็งแกร่งด้วย การดึงมืออาชีพในธุรกิจอสังหาฯ เข้ามาร่วมทีมเพื่อรองรับการขยายธุรกิจครั้งนี้

“การรุกเข้าสู่ธุรกิจอสังหาฯ เป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่เป็นความตั้งใจที่มีมานานของบริษัทฯ เราอาศัยจังหวะที่ภาค รัฐบาลเดินหน้าขยายโครงการเส้นทางคมนาคมส่วนต่างๆ ทำให้ความเจริญกระจายตัวไปสู่จังหวัดต่างๆ รวมทั้ง เขตรอบนอกกรุงเทพฯ ได้ดีขึ้น ในช่วงแรกนี้ EMC จะเลือกใช้กลยุทธ์เข้าซื้อกิจการและโครงการต่างๆ ที่บริษัทฯ ได้ศึกษาแล้วว่ามีศักยภาพและความต้องการซื้อรออยู่แล้ว ทั้งยังต้องสามารถสร้างรายได้ทันทีภายในครึ่งปีแรกนี้ เพื่อเพิ่มความมั่นใจและลดความเสี่ยงในการลงทุนของบริษัทฯ หลังจากนั้นจึงเพิ่มจำนวนโครงการที่บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาขึ้นเอง”

ทั้งนี้ EMC ได้กำหนดยอดรายได้รวม 5 ปีของบริษัทฯ ไว้ที่ 18,730 ล้านบาท ซึ่งมาจากสาย ธุรกิจอสังหาฯ 13,230 ล้านบาท และสายธุรกิจก่อสร้าง 5,500 ล้านบาท โดยภายในปี 58 บริษัทตั้งเป้ารับรู้ รายได้ที่ 1,950 ล้านบาท แบ่งเป็น 1,050 ล้านบาทจากสายธุรกิจอสังหาฯ และ 900 ล้านบาทจากสายธุรกิจ ก่อสร้าง ซึ่งการเปิดตัวสายธุรกิจอสังหาฯ ในปี 58 นี้ จะมีผลทำให้สัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ ระหว่างสายธุรกิจ อสังหาฯ และก่อสร้างอยู่ที่ 50:50 และจะปรับเป็น 75:25 ในปี 62

ส่วนการขาดทุนสะสมกว่า 1.4 พันล้านบาทนั้น คาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนฯได้หมดภายใน 2-3 ปีจากนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ