ขณะที่บริษัทยังมีการลงทุนโครงการต่อเนื่องอื่นตามแผน รวมถึงการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน(PP) 3 แสนตัน/ปี มูลค่ากว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิต PP เพิ่มขึ้นเป็น 7.75 แสนตัน/ปีใน 2 ปีข้างหน้า
บริษัทคาดว่าการกลั่นทั้งปีนี้สูงกว่าปีก่อน แม้ในช่วงไตรมาส 2/58 อาจอ่อนตัวลง โดยค่าการกลั่นไตรมาส 1/58 อยู่ในระดับสูงเกินกว่า 10 เหรียญ/บาร์เรล จาก 7.63 เหรียญ/บาร์เรลในงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเชื้อเพลิงที่ลดลงตามราคาน้ำมัน โดยค่าการกลั่นจนถึงวันนี้ยังสูงกว่า 10 เหรียญ/บาร์เรล แต่คาดว่าจะอ่อนตัวลงในช่วงครึ่งหลังปีนี้ เพราะราคาน้ำมันดิบอาจจะสูงขึ้นในปลายปีซึ่งกระทบต่อต้นทุนค่าเชื้อเพลิงของบริษัทที่สูงขึ้น ทำให้ค่าการกลั่นอ่อนตัวลง แต่เชื่อว่าทั้งปีนี้ค่าการกลั่นจะสูงกว่าปีที่แล้ว
ขณะที่ประเมินราคาน้ำมันดิบปีนี้ที่ราว 50-60 เหรียญ/บาร์เรล ความเสี่ยง stock loss ต่ำ จากปีก่อนมี stock loss ราว 1 หมื่นล้านบาท ส่วนปัญหานิวเคลียร์อิหร่านที่ได้ข้อยุติลงทำให้ราคาน้ำมันดิบร่วงลง 2-3 เหรียญ/บาร์เรลในวันนี้ ยังต้องเป็นสิ่งที่ต้องติดตามดู แต่เชื่อว่าในปลายปีราคาน้ำมันจะสูงขึ้นกว่าปัจจุบัน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะกลับมามีกำไรจากสต็อกน้ำมันหรือไม่ เพราะยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป
นายสุกฤตย์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของกำไรของบริษัทมั่นใจว่าจะดีกว่าปีที่แล้วแน่นอน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากอัตรากำไร(มาร์จิ้น)ที่ดีขึ้นจากโครงการ UHV ที่จะแล้วเสร็จปลายปีนี้ และโครงการเดลต้า ซึ่งเป็นปรับประสิทธิภาพทั้งการผลิต การขาย และบุคคลากร ตลอดจนการที่ราคาน้ำมันลดลงทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงของบริษัทลดลงมากด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ บริษัทยังคงทำแผนลดความเสี่ยงผลกระทบจากราคาน้ำมัน ด้วยการยืดเวลาการจ่ายน้ำมันดิบกับ บมจ.ปตท. (PTT) จาก 30 วันเป็น 90 วัน ซึ่งทำต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว ทำให้บริษัทไม่มีภาระการใช้เงินทุนหมุนเวียนมากนัก ขณะที่การลงทุนต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาใช้เงินกู้ระยะสั้นและภาระเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่มากทำให้ไม่ต้องกู้เงินระยะยาว ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยเงินกู้รวมต่ำกว่า 4% และเชื่อว่าศักยภาพการทำกำไรที่ตะมีขึ้นจากการลงทุนขยายงานนั้นจะสามารถจ่ายคืนเงินกู้ได้โดยไม่ต้องพึ่งการกู้เงินระยะยาว
"คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/58 จะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น และการได้รับประโยชน์จากโครงการเดลต้าที่คาดว่าจะหนุนกำไรราว 4 พันล้านบาท/ปี เฉลี่ยไตรมาสละ 1 พันล้านบาท นอกจากนี้ในไตรมาสแรกยังจะรับรู้กำไรพิเศษจากการชำระหนี้คืนของบริษัท ทีพีไอ อะโรเมติกส์ จำนวน 4 พันล้านบาท แต่บริษัทได้ตัดหนี้สูญไปแล้วทำให้เงินได้มาจึงเป็นกำรพิเศษเมื่อตัดค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ภาษี ก็จะทำให้รับรู้กำไรกว่า 2 พันล้านบาท"
สำหรับเงินลงทุนในปีนี้ราว 16,000 ล้านบาท โดย 10,000 ล้านบาทใช้ในโครงการ UHVส่วนที่เหลือใช้ในโครงการ PP และอื่นๆ
นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการทำโครงการผลิตพาราไซลีน (PX) ร่วมกับ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล(PTTGC)และบมจ. ไทยออยล์ (TOP) โดยมีกำลังการผลิต 1.8. ล้านตัน/ปี เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะผลิต 1.2 ล้านตัน/ปี เพราะเดิมคาดว่าจะเป็นการร่วมกันทำกับเฉพาะ PTTGC เท่านั้น แต่เมื่อมี TOP เข้ามาร่วมด้วยทำให้ต้องศึกษาใหม่ คาดว่าจะแล้วเสร็จเบื้องต้นใน 6. เดือน
ด้านนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานกรรมการ IRPC คาดว่าราคาน้ำมันดิบปีนี้จะอยู่ในช่วง 50-60 เหรียญ/บาร์เรล ทำให้ความเสี่ยงการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันไม่เหมือนปีที่ผ่านมาที่ขาดทุนราว 1 หมื่นล้านบาท
สำหรับโครงการ UHV ที่แล้วเสร็จในปลายปีนี้จะทำให้สามารถใช้กำลังการกลั่นได้เต็มที่ 2.15 แสนบาร์เรล/วัน จากปีที่แล้วกลั่นน้ำมันที่ 1.72 แสนบาร์เรล/วันในปีก่อน