จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิต 1,800 เมะกวัตต์ โดยเป็นกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้า BLCP ในไทยและโรงไฟ้า 3 แห่งในจีน รวมทั้งโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการตามแผนงาน ได้แก่ โรงไฟฟ้าหงสาในลาว กำลังผลิต 1,878 เมกะวัตต์ที่บริษัทถือหุ้น 40% ปัจจุบันก่อสร้างคืบหน้า 94% แล้ว โรงไฟฟ้าหน่วยแรก 626 เมกะวัตต์ จะสามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าขายเข้าระบบในเดือน มิ.ย.58 ขณะที่โรงไฟฟ้าซานซีลู่กวงในจีน อยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ในปี 60 โดยบริษัทถือหุ้น 30%
นอกจากนั้น ในปีนี้บริษัทยังมองหาการลงทุนในโซลาร์ฟาร์ม เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างน่าสนใจ และสามารถลงทุนในขนาดใหญ่ได้ รวมทั้งบริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อร่วมทุนในโรงไฟฟ้าชีวมวลในภาคใต้ของไทย เบื้องต้นคาดว่าจะมีกำลังการผลิต 6-9 เมกะวัตต์/โรง สัดส่วนการถือหุ้นคาดว่าจะอยู่ในระดับ 25-30% ต่อบริษัท หรือหากผู้ร่วมลงทุนรายอื่นๆ มีความชำนาญก็อาจจะให้ถือหุ้นส่วนใหญ่
ขณะที่บริษัทสนใจจะขยายการลงทุนในโรงไฟฟ้าถ่านหินในต่างประเทศ ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย และจีน เนื่องจากประเทศดังกล่าวมีแนวโน้มความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง ซึ่งจะเป็นการลงทุนในขนาดใหญ่ เพราะให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย ซึ่งทางรัฐบาลมีนโยบายขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงถึง 3.5 หมื่นเมกะวัตต์
แต่ในส่วนของโครงการพลังงานลม ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการศึกษาในพื้นที่ 2-3 แห่งในประเทศพบว่าไม่เหมาะสมที่จะเข้าลงทุน เนื่องจากผลตอบแทนไม่ดีนัก
ขณะเดียวกัน หลังจากที่ราคาถ่านหินปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก โดยได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมาก บริษัทมองว่าเป็นโอกาสการเข้าซื้อกิจการเหมืองเพิ่มเติม โดยเฉพาะในอินโดนีเซียและอินเดีย โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการเจรจาในแหล่งที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้บริษัทลูกในอินโดนีเซียมีเงินสดในมือกว่า 200-300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานทั้งถนนและท่าเรือที่บริษัทลงทุนไว้แล้วทำให้มีความพร้อมมาก