(เพิ่มเติม) TOP คาดสรุปศึกษาขยายกำลังกลั่นเป็น 4 แสนบาร์เรล/วันจาก 2.75 แสนฯปลายปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 7, 2015 10:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยออยล์(TOP)กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการขยายกำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มเป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่ 2.75 แสนบาร์เรล/วัน เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตและการส่งออกไปยังประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) โดยคาดว่าจะเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมได้ในเดือนมิ.ย.นี้ หลังจากนั้นจะทำการออกแบบ ประเมินเงินลงทุนและความเหมาะสมโครงการ คาดว่าจะมีความชัดเจนในปลายปีนี้

โครงการดังกล่าวจะเป็นการสร้างหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ(CDU)ขนาดราว 2 แสนบาร์เรล/วัน ทดแทน CDU 1 และ 2 ที่มีกำลังกลั่นน้ำมันหน่วยละประมาณ 5 หมื่นบาร์เรล/วัน ขณะที่ CDU 3 มีกำลังการกลั่นน้ำมันราว 1.75 แสนบาร์เรล/วัน

"เราจะขยาย CDU เพราะ CDU 1 และ 2 มีอายุการใช้งานมานานกว่า 50 ปี...แผนคร่าวๆ เราจะรู้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในด้านสิ่งแวดล้อม และดีมานต์-ซัพพลายของประเทศเพื่อนบ้านด้วย กลางปีกระบวนการนี้จะชัดเจนขึ้น หลังจากนั้นก็จะออกแบบ รู้เงินลงทุนจริงว่าเท่าไหร่ คุ้มค่าแก่การลงทุนหรือไม่ ปลายปีก็จะรู้ว่า flexible หรือเปล่า"นายอธิคม กล่าว

สำหรับเงินลงทุนในการสร้างโรงกลั่นน้ำมันใหม่ตามปกติจะอยู่ที่ราว 20,000-25,000 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งหากบริษัทจะลงทุนก็ต้องเริ่มอย่างช้าในต้นปีหน้า ขณะที่การก่อสร้างโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี

นายอธิคม กล่าวว่า การขยายกำลังการกลั่นน้ำมันของบริษัทในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างโอกาสการเติบโตด้วยทรัพย์สินที่มีอยู่ให้เต็มที่ โดยเฉพาะการใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน อีกทั้งยังเห็นโอกาสในการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เน้นในแถบ AEC ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้นำเข้าสุทธิน้ำมันสำเร็จรูปทั้งสิ้น แม้ปัจจุบันความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไม่ได้เติบโตมากนักก็ตาม นอกจากนี้ยังจะทำให้มีโอกาสที่จะขยายกำลังการผลิตปิโตรเคมีได้ต่อเนื่อง โดยอาจจะเป็นการดำเนินการร่วมกับ บมจ.ไออาร์พีซี(IRPC) ในการผลิตพาราไซลีน(PX) ในอนาคตด้วย

ตามแผนการขยายกำลังการกลั่นน้ำมันดังกล่าว บริษัทยังจะเพิ่มประสิทธิภาพระบบลองเรสซิดิว (long residue) เพื่อเปลี่ยนผลิตภัณฑ์น้ำมันเตามาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันใสเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยการดำเนินการจะเป็นไปพร้อมกับการขยายกำลังการกลั่นน้ำมันครั้งนี้

ปัจจุบัน บริษัทสามารถกลั่นน้ำมันเตาได้ราว 9% ,น้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยาน 57% ,เบนซิน 17% ,ก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) 4% วัตถุดิบที่ใช้ผลิตอะโรเมติกส์ 13% โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโรงกลั่นน้ำมันมีการส่งออกประมาณ 20%

นายอธิคม กล่าวถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบว่า ราคาเฉลี่ยในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ปัจจุบันเคลื่อนไหวที่ราว 55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้คาดว่ามีโอกาสค่อนข้างน้อยที่ราคาจะลดลงมากกว่านี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐยังเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ และสถานการณ์ในยุโรปเริ่มนิ่ง หลังมีการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE)

ขณะที่เศรษฐกิจจีนแม้จะชะลอตัวลงบ้างแต่เป็นการชะลอตัวลงจากฐานที่มีขนาดใหญ่ ทำให้คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันของโลกจะไม่หดตัวมากนัก ส่วนการบริโภคนั้นในประเทศนั้น เห็นว่ายังขยายตัวได้ดีจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ และได้รับประโยชน์จากโครงการรถยนต์คันแรกทำให้การใช้น้ำมันเบนซินเติบโตโดยคาดว่าจะขยายตัว 4% ในปีนี้

ทั้งนี้ ค่าการกลั่น (GRM) ในช่วงไตรมาส 1/58 ยังอยู่ในระดับที่ดี โดยอยู่ที่ราว 8.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ราว 5.1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

นายอธิคม กล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีกระแสเงินสดกว่า 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งสำรองไว้เพื่อชำระคืนหนี้และลงทุนในปีนี้รวมเกือบ 3 หมื่นล้านบาท โดยจะชำระคืนหนี้ในเดือนมิ.ย.ราว 350 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.2 หมื่นล้านบาท และลงทุนในโครงการที่คณะกรรมการได้อนุมัติไว้สำหรับช่วงปี 58-61 ราว 520 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะใช้ในปีนี้กว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐในโครงการผลิตสาร Linear Alkyl Benzene (LAB) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาด คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ และการใช้เงินในโครงการโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก(SPP)อีก 2 โรง ขนาดกำลังการผลิตราว 230 เมกะวัตต์ แล้วเสร็จในปลายปี 59


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ