"ปัจจัยเติบโตปีนี้มาจากศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งในด้านช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายครอบคลุม ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ ตัวแทนจำหน่ายร้านค้าวัสดุก่อสร้างแบบดั้งเดิมที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ กลุ่มลูกค้าโครงการ กลุ่มลูกค้าในต่างประเทศ"นายสาธิต กล่าว
นายสาธิต กล่าวอีกว่า บริษัทสามารถผลักดันสินค้าภายใต้แบรนด์"ตราเพชร" ที่มีความหลากหลาย ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลังคา ผลิตภัณฑ์แผ่นผนังและฝ้า และผลิตภัณฑ์ไม้สังเคราะห์ เข้าสู่ช่องทางการจำหน่าย เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกันยังมีความพร้อมด้านฐานการผลิตที่มีกำลังการผลิตรวมกว่า 9.82 แสนตัน/ปี จาก 3 โรงงานการผลิตที่กระจายอยู่ในภูมิภาคได้แก่ โรงงานผลิตกระเบื้องหลังคา ไม้สังเคราะห์และอิฐมวลเบาที่จังหวัดสระบุรี โรงงานผลิตกระเบื้องหลังคาและศูนย์กระจายสินค้าที่จังหวัดขอนแก่น และโรงงานอิฐมวลเบาที่จังหวัดเชียงใหม่ ช่วยเสริมศักยภาพการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทั้งยังช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์และการขนส่งกระจายสินค้าในต้นทุนที่ต่ำลงได้อีกด้วย
นอกจากนี้บริษัทยังให้น้ำหนักด้านสื่อสารการตลาดและสร้างแบรนด์ ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มากขึ้นรองรับการตลาดวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดี หลังภาครัฐเร่งการเบิกจ่ายเต็มที่เพื่อลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่หนุนความเชื่อมั่นด้านการลงทุนของภาคเอกชนและผู้บริโภคในการใช้จ่ายเงินซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้าง นำไปใช้ในการปรับปรุงหรือก่อสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น
ส่วนตลาดต่างประเทศนั้น บริษัทได้รุกขยายตลาดให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากประเทศสมาชิกในอาเซียนจะก้าวสู่ประชาคมเศรษฐษกิจอาเซียน(AEC) ในปลายปีนี้ เป็นปัจจัยบวกต่อบรรยากาศการค้าการลงทุน ทำให้บริษัทสามารถเก็บเกี่ยวรายได้ จากการส่งออกได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV หรือ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์และเวียดนาม เนื่องจากเศรษฐกิจ มีการเติบโตที่ดีช่วยหนุน ความต้องการใช้สินค้าวัสดุก่อสร้างมากขึ้น