(เพิ่มเติม) QH เผย Q1/58 ทำยอดขาย 4,800 ลบ.โตกว่า Q1/57 แต่ทรงตัวจาก Q4/57

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 17, 2015 14:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์(QH) เปิดเผยว่ายอดขายไตรมาส 1/58 ทำยอดขายได้ 4,800 ล้านบาท สูงกว่าไตรมาส 1/57 แต่ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/57 ส่วนไตรมาส 2/58 คาดว่าจะมียอดขายใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ทำยอดขายได้ราว 5,400 ล้านบาท

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร QH กล่าวว่า ยอดขายไตรมาส 1/58 ทำได้ราว 4.8 พันล้านบาท ใกล้เคียงไตรมาส 4/57 แต่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 4.3 พันล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ 3.6 พันล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1.2 พันล้านบาท โดยโครงการคอนโดมิเนียระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่"คิว สุขุมวิท"ติดสถานีบีทีเอสนานา มูลค่าโครงการ 1 หมื่นล้านบาท สามารถทำยอดขายได้แล้ว 20% ในช่วงเปิดให้ลูกค้าเก่าจอง

ประกอบกับในไตรมาส 1/58 บริษัทยังมีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมระดับล่าง ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท/ยูนิต มูลค่าโครงการ 635 ล้านบาท คือ โครงการเดอะพ้อยท์ คอนโดมิเนียม แหลมฉบัง สามารถทำยอดขายได้ค่อนข้างดี แม้ว่าโครงการคอนโดมิเนียมในต่างจังหวัดจะมีซัพพลายด์ค่อนข้างล้นตลาด แต่การที่บริษัทมีชื่อเสียงลงไปรุกตลาดล่าง ทำให้มีคนสนใจเข้ามาซื้อโครงการเป็นอย่างมาก

นายชัชชาติ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าในไตรมาส 2/58 จะทำยอดขายได้ใกล้เคียงไตรมาส 2/57 ที่มียอดขายราว 5.4 พันล้านบาท โดยบริษัทจะทยอยเปิดโครงการใหม่ทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบอย่างต่อเนื่องไนช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ โดยมีโครงการที่จะเปิดตัวแน่นอนแล้วในไตรมาส 2/57 จำนวน 2 โครงการ เป็นคอนโดมิเนียมที่อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และอำเภอสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ มูลค่ารวมกว่า 2 พันล้านบาท รวมทั้งโครงการคอนโดมิเนียมคิว สุขุมวิท ที่จะเริ่มเปิดขายอย่างเป็นทางการในไตรมาสนี้เช่นกัน จึงเชื่อว่าจะช่วยส่งผลให้ยอดขายเป็นไปตามประมาณการณ์

นอกจากนั้น บริษัทยังมั่นใจยอดขายของบริษัทในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้เติบโต 25% หรืออยู่ที่ 2.41 หมื่นล้านบาท ด้านรายได้รวมคงเป้าเดิมที่เติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2.24 หมื่นล้านบาท

ณ สิ้นปี 57 บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน(backlog)อยู่ที่ 8 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 6.1 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 59 ส่วนงบซื้อที่ด้นในปีนี้ตั้งไว้ 6 พันล้านบาท ปัจจุบันใช้ไปแล้วเล็กน้อยในการซื้อที่ดินในกรุงเทพและปริมณฑล ส่วนใหญ่จะเป็นที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าและที่ดินในต่างจังหวัดเล็กน้อย

"แผนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลังจากผมเข้ารับตำแหน่งนั้นโครงการคอนโดมิเนียมของจะเน้นที่ดินเกาะแนวรถไฟฟ้า โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ซึ่งเน้นการคมนาคมที่สะดวกเป็นหลัก แต่ปัจจัยเสี่ยงคือที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าตอนนี้หายากมากและราคาสูง แต่โชคดีที่เรามีที่ดินที่ได้ซื่อไปเมื่อปีที่แล้วส่วนหนึ่ง ส่วนโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ก็จะเน้นการคมนาคมที่สะดวกเช่นกัน แต่จะไม่ติดรถไฟฟ้ามากนัก อาจจะต้องเข้าไปนิดหน่อย แต่เราก็จะเน้นทำเลที่มีถนนเข้าถึงและมีทางด่วน โดยพื้นที่ที่น่าสนใจตอนนี้เป็นพื้นที่กรุงเทพฯฝั่งตะวันตก อย่างเช่น ราชพฤกษ์ ที่มีการทำทางด่วน ถนนต่างๆมากขึ้น"นายชัชชาติ กล่าว

ส่วนโครการในต่างจังหวัดนั้นเป็นสิ่งที่ท้าทาย เพราะความต้องการมีเข้ามาเป็นระลอกๆ ไม่เหมือนในกรุงเทพฯ แต่จังหวัดที่บริษัทจะเข้าไปนั้นต้องเป็นจังหวัดมี่มีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในระดับสูง มีนิคมอุตสาหกรรม หรือเป็นจังหวัดที่มีการท่องเที่ยวดีและเป็นศูนย์การศึกษา เช่น ชลบุรี, พัทยา, ระยอง และ เชียงใหม่ รวมถึงฉะเชิงเทราก็เป็นจังหวัดที่น่าสนใจ เพราะมีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีโรงงานของโตโยต้าตั้งอยู่ ส่วนขนาดโครงการคงเป็นขนาดกลาง ไม่ใหญ่มาก แต่จังหวัดที่มีความเกี่ยวข้องกับพืชผลเกษตรคงยังไม่เข้าไป เพราะมีรายได้และความต้องการที่อ่อนไหว มีความเสี่ยงมาก

นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า ภาวะอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ชัดเจน และอาจจะเติบโตไม่ถึงเป้าหมายที่ 3% เนื่องจากภาคการส่งออกยังติดลบ ขณะที่รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศไทยยังพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก อีกทั้งภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ โดยเฉพาะในตลาดล่าง เห็นได้จากโครงการในระดับล่างมียอดขายชะลอตัวและมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้น อีกทั้งการแข่งขันของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ก็มีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งบริษัทมีการเน้นการแข่งขันด้านคุณภาพมากกว่าเน้นการแข่งขันด้านราคา

ส่วนปัจจัยบรมวกที่ส่งผลดีต่อภาพอสังหาริมทรัพย์ คือ อัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำและคาดว่ายังคงต่ำแบบนี้ไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเข้าซื่ออสังหาริมทรัพย์ เพราะลูกค้ามีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำ และราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลให้ต้นทุนการก่อสร้างของผู้ประกอบการลดลงได้ราว 1-2%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ