ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโตได้ถึง 100% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27.18 ล้านบาท และยังคงเป้ารายได้ที่ 1.4 พันล้านบาท แม้ว่าปริมาณการขายก๊าซ LPG ในปัจจุบันจะปรับตัวลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ดิ่งลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้ใช้รถติดแก๊สหันไปใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ส่วนการที่กระทรวงพลังงานระบุว่าลดการสนับสนุนการใช้ LPG ในภาคขนส่งนั้น ถือว่าเป็นนโยบายตั้งแต่มีการใช้ NGV แล้ว จึงไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก
อย่างไรก็ตาม กในปีนี้บริษัทฯจะรับรู้รายได้จากงานในมือ(Backlog)ของบริษัทย่อย คือ บริษัท ทาคุนิ(ประเทศไทย)ราว 260 ล้านบาท และการเข้าร่วมทุนในบริษัท ซี เอ แซด (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการรับเหมาก่อสร้างธุรกิจ oil&gas ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์มากเป็นพิเศษ ซึ่ง TAKUNI เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 47.72% ที่ปัจจุบันมี Backlog ราว 500 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่มูลค่าราว 700 ล้านบาทที่จะรู้ผลประมูลในช่วงเดือน พ.ค.ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ราว 400 ล้านบาท
"นโยบายภาครัฐฯได้ประกาศออกมาว่าจะไม่สนับสนุนก๊าซ LPG เรามองว่าไม่ได้กระทบ เพราะจริงๆ รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนการใช้ LPG ตั้งแต่มีก๊าซ NGV เกิดขึ้นแล้ว แต่สิ่งที่กระทบกับเรามากที่สุดคือราคาน้ำมันที่ดิ่งลงมา ทำให้มองว่ายอดขายก๊าซในปีนี้คงอยู่ที่ประมาณ 900-1,000 ล้านบาทเท่านั้น จากเดิมที่คาดว่าจะสูงถึง 1,200 ล้านบาท แต่เราก็ยังมั่นใจว่าเราจะมีรายได้ถึง 1.4 พันล้านบาท เพราะเรามี Backlog งานอื่นที่จะเข้ามารับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ ซึ่งงานก่อสร้างนั้นมีมาร์จิ้นที่สูงกว่ามาร์จิ้นจากการขายก๊าซ เราจึงมั่นใจว่ากำไรสุทธิปีนี้จะโตกว่าปีก่อนถึง 100%"นางสาวนิตา กล่าว
นางสาวนิตา กล่าวถึงความสนใจเข้าซื้อโรงไฟฟ้าชีวมวลว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาและหารือกับที่ปรึกษาทางการเงิน คาดว่าจะมีการทำดิวดิลิเจนซ์โรงไฟฟ้าชีวมวลที่บริษัทมีความสนใจจะเข้าลงทุน กำลังการผลิตราว 9.9 เมกะวัตต์ และใช้เชื้อเพลิงจากเศษไม้ แหล่งเงินทุนจะมาจากเงินที่ได้จากการขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรก(IPO) ที่มีอยู่ 160 ล้านบาท และอีกส่วนหนึ่งจะมาจากการกู้ เพราะขณะนี้บริษัทมีหนี้สินต่อทุน(D/E) ที่ระดับ 0.5 เท่า