ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/58 ธนาคารฯ ได้ทำการบันทึกบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายครั้งเดียวเพื่อชดเชยกรณีทุจริตที่เกิดขึ้นกับบัญชีเงินฝากของ สจล. อันเป็นการแสดงความรับผิดชอบของ ธนาคารฯ (หากไม่รวมค่าใช้จ่ายนี้ อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 9.3%)
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCB กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาสแรกแสดงให้เห็นถึงพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สามารถรักษาระดับการทำกำไรไว้ในระดับที่สูงแม้อยู่ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายและถูกผลกระทบในเรื่องค่าใช้จ่ายครั้งเดียว จากกรณีทุจริตที่เกิดขึ้นกับบัญชีเงินฝากของ สจล.ขณะที่ธนาคารฯ มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจเพื่อให้รองรับกับอนาคต ธนาคารเชื่อมั่นว่าด้วยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและการเพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกิจ จะทำให้สามารถยืนหยัดและสร้างผลงานที่แข็งแกร่งได้ต่อไป
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ในไตรมาสที่ 1/58 จำนวน 20,532 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากเดิมในไตรมาสที่ 1/57 ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ในการลดค่าใช้จ่ายทางด้านดอกเบี้ยเงินฝาก และมีการเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้น 4.3% จากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย จำนวน 12,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการเติบโตของรายได้จากธุรกรรมค้าเงินและปริวรรตเงินตราต่างประเทศ รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิ และรายได้จากเงินปันผล ส่วนค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ย จำนวน 12,498 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4% จากไตรมาสที่ 1/57 เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกรณีทุจริตที่เกิดขึ้นกับบัญชีเงินฝากของ สจล. ซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบล่วงหน้าจนกว่าคดีจะสิ้นสุด หากตัดค่าใช้จ่ายพิเศษส่วนนี้ออกไป ค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยของธนาคารฯ จะอยู่ในระดับเดียวกันกับปีก่อน
คุณภาพสินเชื่อ ในไตรมาส 1/58 ธนาคารฯ ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญไว้จำนวน 3,601 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.80% ของสินเชื่อทั้งหมด เพิ่มขึ้น 12.3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีอัตราส่วน สินเชื่อด้อยคุณภาพ อยู่ที่ 2.13% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 เพิ่มขึ้นจาก 2.11% จาก ณ สิ้นเดือนธันวาคม 57 ขณะที่ อัตราสำรองรวมต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ในระดับคงที่คือ 138.1% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 58