"จริงๆปีที่แล้วเราทำได้ดีกว่านี้ แต่มาเจอราคาน้ำมันลดลง ประกอบกับรัสเซียค่าเงินลดลงไปมาก ทำให้ราคาเหล็กร่วงลงมา 40% ทำให้เราตั้งสำรองไว้ในช่วงปลายปี...ปีนี้ต้องบอกว่าความเสี่ยงเรื่องราคาเหล็กต่ำลงแล้ว เพราะราคาปรับลดลงมามากแล้วเหมือนน้ำมันที่ลงมา โอกาสที่จะลงต่อมีแต่น้อย อย่าบอกว่าจะขึ้นเลย เอาเป็นว่าลงมาแล้วอยู่อย่างนี้และตรงนี้มีส่วนต่างระหว่างราคาวัตถุดิบและสินค้าพอใช้ได้เราก็พอใจแล้ว พอเราเน้นปริมาณก็ได้กำไรขึ้นไป สเปรดปีนี้ก็ดีกว่าปีที่แล้ว"นายวิน กล่าว
อนึ่ง SSI รายงานผลประกอบการปี 57 ขาดทุนสุทธิ 4.9 พันล้านบาท ปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อน 1.47 ล้านตัน ลดลงมากจากระดับ 2.13 ล้านตันในปี 56 ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองทำให้การบริโภคเหล็กลดลง และการทุ่มตลาดจากจีน ขณะที่ยังมีค่าใช้จ่ายสูง ประกอบกับราคาเหล็กที่ตกต่ำในช่วงปลายปี ทำให้ต้องมีการตั้งสำรองสินค้าคงคลังจำนวนหนึ่งด้วย
นายวิน มองว่า ความต้องการใช้เหล็กในปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว แม้หลายฝ่ายยังกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่การเมืองที่มีความมั่นคงน่าจะทำให้มีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐออกมามากขึ้น ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนยังอยู่ในระดับที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ ซึ่งจะผลักดันให้ปริมาณการขายเหล็กของบริษัทในปีนี้เป็นไปได้ตามเป้าหมาย แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีนี้อาจจะยังไม่ได้ขยายตัวมากนักก็ตาม
นอกจากนี้ บริษัทยังวางเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์เหล็กที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ(Premium Value Products)เป็นระดับ 60% ของปริมาณขายรวมภายใน 3 ปีข้างหน้า จากที่คาดระดับ 40% ในปีนี้ โดยมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมยานยนต์ ,พลังงาน เป็นต้น ขณะที่ในส่วนของงานเหล็กก่อสร้างรางรถไฟทางคู่ของโครงการภาครัฐในอนาคตนั้น แม้ว่าปัจจุบันโรงรีดเหล็กของบริษัทในไทยจะยังไม่สามารถผลิตได้ แต่หากรัฐบาลมีโครงการที่ชัดเจน ก็พร้อมที่จะศึกษาและปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อให้สามารถได้รับประโยชน์จากการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐดังกล่าวด้วยในอนาคต
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทจะพยายามลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนคงที่ โดยเฉพาะในส่วนของการลดปริมาณสินค้าและวัตถุดิบคงคลัง ซึ่งจะทำให้การใช้เงินทุนหมุนเวียนลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงด้วย
ขณะที่ในส่วนของโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษนั้น บริษัทจะพยายามทำให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย(EBITDA)เป็นบวกได้โดยเร็ว ซึ่งต้องดำเนินการในหลายอย่าง โดยระยะสั้นปีนี้จะเน้นการลดต้นทุน เพิ่มการผลิต และในระยะยาวอาจจะมีการลงทุนที่ใช้เงินไม่มาก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตหลายๆด้านซึ่งทำให้ต้นทุนลดลง แต่การลงทุนเหล่านี้ยังต้องรอโอกาสที่เหมาะสมด้วย โดยปัจจุบันโรงถลุงเหล็กมีการผลิตเหล็กแท่งแบน(slab) ที่ระดับ 2.7 ล้านตัน หรือราว 70% ของกำลังการผลิตเต็มที่ ซึ่งหากสามารถผลิตได้ระดับ 85-90% ก็จะทำให้โรงถลุงสามารถทำกำไรได้
นายวิน กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการเพิ่มทุนใหม่จำนวน 1.6 หมื่นล้านหุ้นที่จะเสนอขายให้กับนักลงทุนในวงจำกัด(PP)นั้น จะทำให้นักลงทุนใหม่เข้ามาถือหุ้นระดับ 33.2% ขณะที่กลุ่มเครือสหวิริยาที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จะลดสัดส่วนลงมาเหลือ 19.8% จากเดิมที่ 29.7% แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะขายให้กับนักลงทุนรายเดียวหรือไม่ เพราะตามเงื่อนไขบริษัทสามารถกระจายหุ้นให้กับ PP ได้ถึง 35 รายภายใน 1 ปีนับจากนี้
เมื่อวานนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้น SSI อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียน เป็น 50,263.66 ล้านบาท จากเดิมที่ 34,263.66 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญใหม่ 16,000 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการบริหารวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต ให้มีผลประกอบการที่ดีขึ้น และมีฐานทุนจากส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มทุน จึงช่วยให้บริษัท และบริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี ยูเค จำกัด (SSI UK) ซึ่งทำโรงถลุงเหล็กในอังกฤษ มีสภาพคล่องที่ดีขึ้น และมีความมั่นคงทางการเงินที่เพิ่มมากขึ้น