ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าเพิ่มเป็น 50% จากเดิม 37.5% เนื่องจากในปีก่อนรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยประมาณ 16 เมกะวัตต์ ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 30 เมกะวัตต์ภายในปีนี้ และในปี 59 จะเพิ่มเป็น 50-60 เมกะวัตต์
ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโซลาร์ฟาร์มที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นไปตามแผนการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศที่กำหนดจะทยอยสร้างโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น 6 โครงการ และยังคงมองหาลู่ทางการลงทุนเพิ่มเติม ในลักษณะของการร่วมทุน ภายในเงื่อนไข EPCO ต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยเตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาทในปีนี้ สำหรับเดินหน้าโรงการโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น โดยใช้เงินจากทุนของบริษัท 25% เงินกู้สถาบันการเงิน 75%
และบริษัทยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนโซลาร์ รูฟ ซึ่งได้มีการเตรียมความพร้อมในการเช่าหลังคาและโกดัง เตรียมพร้อมรองรับไว้แล้ว เนื่องจากให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ
นายยุทธ กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจโรงพิมพ์ยังคงเดินหน้าต่อไป เพราะยังสามารถมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) ปีละกว่า 150 ล้านบาท โดยล่าสุด EPCO จะได้รับงานพิมพ์เพิ่มเข้ามาอีก เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจของบริษัทขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 2/58
ส่วนความคืบหน้าการนำบริษัท บ่อพลอย โซล่าร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ EPCO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้นขณะนี้ได้แต่งตั้งให้ บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อเตรียมความพร้อมนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงปลายปีนี้ โดยบ่อพลอย โซล่าร์ อยู่ระหว่างรอปิดงบการเงินในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ และเตรียมลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้มีกำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ