กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้เอฟไอเอฟ เอ็นแฮนซ์ 10 (KTFFE10) เหมาะสำหรับผู้ที่มีเงินลงทุนสูงตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป อายุโครงการ 6 เดือน เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ทั้ง100% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยกองทุนจะลงทุนประเภทเงินฝากประจำ Akbank T.A.S,เงินฝากประจำ China Construction Bank,MTN ออกโดย Banco BTG Pactual S.A. ,MTN ออกโดย Banco ABC (Brazil) และ MTN ออกโดย Turkiye IS Bankasi A.S.ผลตอบแทนประมาณ 2.45% ต่อปี
ส่วนกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 65 (KTFF65) อายุโครงการ 3 เดือน เน้นลงทุนในตราสารต่างประเทศ ประเภทเงินฝากประจำ China Construction Bank,เงินฝากประจำ Bank of China,MTN ออกโดย Banco ABC (Brasil) และ MTN ออกโดย Banco BTG Pactual S.A.ในสัดส่วน 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในตั๋วแลกเงินของบมจ.บัตรกรุงไทย ผลตอบแทนประมาณ 2.20% ต่อปี เงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาทโดยทั้ง 2 กองทุน ผลตอบแทนที่ได้รับบุคคลธรรมดาไม่เสียภาษี
สำหรับภาวะตลาดตราสารหนี้อัตราผลตอบแทนแกว่งตัวในกรอบแคบ เนื่องจากนักลงทุนส่วนหนึ่งชะลอการลงทุนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่เป็นวันหยุดยาว ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิจำนวน 5,108 ล้านบาท สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตาได้แก่ การตอบรับของตลาดต่อ Bond Supply ที่ในสัปดาห์นี้จะมีการประมูลทั้งตั๋วเงินคลัง พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี (LB21DA) และอายุ 22 ปี (LBA37DA) รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงินที่จะมีการประชุมในช่วงปลายเดือน
ด้านตลาดอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 32.26-32.53 บาทต่อดอลลาร์ฯ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาโดยรวมปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อน จากตัวเลขเศรษฐกิจหลายๆ ตัวที่ออกมาไม่ดีรวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจไตรมาส 1 ปี 2558 ของจีน และกระแส Risk off รอบใหม่ฝั่งหุ้นจากตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดและความต้องการถือพันธบัตรซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางการปรับตัวลดลงของหุ้น จากความกังวลรอบใหม่เกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้ของกรีซ โดยสุรปอัตราผลตอบแทนสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวลดลง -6 bps. มาอยู่ที่ 0.51% ต่อปี อายุ 5 ปี ปรับตัวลดลง -10 bps. มาอยู่ที่ 1.31% ต่อปี และอายุ 10 ปี ปรับตัวลดลง -9 bps. มาอยู่ที่ 1.87% ต่อปี สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตามองได้แก่ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของ FOMC ที่จะมีการประชุมในช่วงปลายเดือน