บริษัทตั้งงบลงทุนทั้งกลุ่มในปีนี้กว่า 1,000 ล้านบาท โดยจะใช้ลงทุนในธุรกิจเดิมราว 500 ล้านบาท ธุรกิจใหม่และการควบรวมกิจการ (M&A) อีก 500 ล้านบาท รวมถึงการขยายธุรกิจออนไลน์ในต่างประเทศ ซึ่งในส่วนของธุรกิจเดิมจะเป็นมีการเปิดสาขาใหม่ของออฟฟิศเมทอีก 8 สาขา ซึ่งจะทำให้สิ้นปี 58 มีสาขาเพิ่มเป็น 59 สาขา สาขาใหม่ของบีทูเอสอีก 8 สาขาและปรับปรุง 9 สาขา ซึ่งจะทำให้สิ้นปี 58 บีทูเอสจะมีมากกว่า 100 สาขา จากปัจจุบันมีกว่า 90 สาขา
ขณะที่การขยายธุรกิจใหม่คาดว่าจะเห็นอีก 2 ธุรกิจในปีนี้ คือ ธุรกิจโลจิสติกส์ และ มาร์เก็ตเพลสเว็บไซต์ ที่จะเริ่มได้ราวไตรมาส 4/58 ซึ่งจะเป็นลักษณะการร่วมลงทุน หรือ M&A ขณะนี้มีเจรจาแล้วกับ 6-7 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ และจะเห็นธุรกิจใหม่เกิดขึ้นราวปลายปี โดยในการทำ M&A นั้นบริษัทมีนโยบายเข้าไปถือหุ้นราว 25-75%
นายวรวุฒิ กล่าวว่า บริษัทเตรียมแผนงานขยายตลาดต่างประเทศ โดยมองที่ประเทศเวียดนามเป็นประเทศแรก เน้นธุรกิจช้อปปิ้งออนไลน์ที่น่าจะเริ่มได้ในปี 59 ระยะแรกจะไปเปิดสาขาไม่เกิน 3 สาขาในปีแรก จากนั้นภายใน 5 ปีจะเปิดให้ครบ 20 สาขา ซึ่งก็จะมีทั้งการเสนอขายสินค้าจากประเทศไทยและที่ผลิตในเวียดนาม ส่วนประเทศถัดไปมองอินโดนีเซีย ก่อนที่จะขยายให้ครอบคลุมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) และภูมิภาคเอเชีย
นายวรวุฒิ กล่าวว่า บริษัทมองแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจช้อปปิ้งออนไลน์ยังไปได้อีกมาก โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากเซ็นทรัลออนไลน์จะสูงขึ้นเป็น 50% ของรายได้รวม COL จากปัจจุบันปีนี้อยู่ที่ราว 10% แม้ว่าตลาดออนไลน์ยังค่อนข้างเล็ก แต่ด้วยความเป็นแบรนด์เซ็นทรัลเชื่อว่าคนจะเปลี่ยนมาสั่งซื้อสินค้าผ่านเซ็นทรัลออนไลน์ได้ไม่ยาก และคาดว่าจะเห็นการซื้อซ้ำสูงมากถึง 60-70% และอัตราจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบันตลาดออนไลน์ในไทยเติบโตปีละ 30% แต่เชื่อว่าเซ็นทรัลออนไลน์จะเติบโตได้มากกว่าด้วยแบรนด์ที่เข้มแข็ง ซึ่งลูกค้าของเรามีความพร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่ในอดีตยังไม่มั่นใจการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เท่านั้น
"COL กลยุทธ์หลักที่จะทำให้โตคือ M&A เห็นได้จากกรณีบีทูเอสซึ่งหลังควบรวมกิจการทำให้เราเติบโต 4-5 เท่า ส่วนธุรกิจออนไลน์ก็เชื่อว่าอัตราการโตยังสูง ขณะที่กลุ่มธุรกิจเซ็นเนอร์จี อินโนเวชั่น เป็นธุรกิจที่ต้องการดิจิตอลคอนเทนท์ ง่ายสุดคือการ M&A เพราะปัจจุบันมีธุรกิจในกลุ่มนี้ที่มีเทคโนโลยีแต่ขาดเงินทุน ขาดตลาด เราก็จะเข้าไปดูถ้าเทคโนฯดีเหมาะสมเราก็จะเข้าไปเป็นลูกค้า จากนั้นเจรจาเข้าถือหุ้นด้วยนโยบายคือถือ 25-75% วันนี้เราคุยกับบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีอยู่ 6-7 ราย และยังเปิดรับอีกมาก ถ้าเทคโนโลยีดีมากเราก็จะเข้าไปเป็นลูกค้า ถือหุ้น ช่วยขายสินค้าและขยายตลาดต่างประเทศด้วยพร้อมกับผลักดันให้บริษัทเหล่านี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต"นายวรวุฒิ กล่าว