สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ CPALL คาดว่าจะมีรายได้รวม ซึ่งรวมผลการดำเนินงานของ บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO) จะเติบโต 10-15% จากปีก่อนมีรายได้รวม 3.7 แสนล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิคาดว่าจะดีกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10,154 ล้านบาท โดยคาดว่าอัตรากำไรสุทธิในปีนี้จะดีขึ้นจากปีก่อนที่อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 2.7% ลดลงจากปี 56 และปี 55 ที่ 3.7% และ 5.6% ตามลำดับ
นายเกรียงชัย กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอัตรากำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวลดลงหลังจากได้ใช้เงินจำนวนมากในการเข้าซื้อกิจการ บมจ.สยามแม็คโคร(MAKRO)ทำให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น และส่งผลต่อกำไรสุทธิลดลง แม้ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นก็ตาม
"เราเชื่อว่าเมื่อธุรกิจ MAKRO และธุรกิจ 7-eleven เติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเติบโตมากกว่าต้นทุนการเงินที่มีแนวโน้มทรงตัว อัตรากำไรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น"นายเกรียงชัย กล่าว
นายเกรียงชัย กล่าวว่า ผลประกอบการและเงินปันผลของ MAKRO ที่บริษัทได้รับยังน้อยกว่าต้นทุนการเงินเล็กน้อย แต่เชื่อว่าอีกไม่นานผลประกอบการและเงินปันผลของ MAKRO น่าจะดีกว่าและจะทำให้ภาระต้นทุนการเงินโดยรวมลดลง
ด้านนายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ รองประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร CPALL กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าในการขายหุ้น MAKRO แต่อย่างใด แต่บริษัทก็จะพยายามลดสัดส่วนหุ้นที่ถืออยู่ให้น้อยลงจากปัจจุบันที่ถืออยู่ 98%
นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิ(Net Debt) ต่อกำไรสุทธิก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) ให้เหลือ 3 เท่าจากปี 57 ที่อยู่ระดับ 6.1 เท่า และลดอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุน(D/E)ให้เหลือ 2 เท่าจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 4.7 เท่า โดยจะนำผลประกอบการมาทยอยชำระหนี้ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีต้นทุนการเงินเฉลี่ย 5% ซึ่ง 80% ของมูลหนี้อยู่ในรูปหุ้นกู้ ที่เหลืออีก 20% เป็นเงินกู้สกุลเงินบาท
สิ้นปี 57 CPALL มีร้าน 7-eleven มีจำนวน 8,127 สาขา ซึ่งเป็นการเปิดสาขาใหม่ 698 สาขา โดย 55% อยู่ต่างจังหวัดและ 45% อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ทั้งนี้ ยอดขายเฉลี่ยต่อวันต่อร้านเท่ากับ 77,055 บาท และมียอดใช้จ่ายต่อคน 63 บาท/คน สำหรับสัดส่วนรายได้ของ CPALL มาจากร้าน 7-eleven เป็น 64% อีก 36% มาจากร้านแม็คโคร ขณะที่สัดส่วนกำไรมาจากร้าน 7-eleven ระดับ 67% ส่วนอีก 33% มาจากร้านแม็คโคร