"ตลาดอาหารในเวียดนามและอินเดียมีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยเศรษฐกิจเติบโตดี ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่นิยมการรับประทานอาหารนอกบ้าน และอาหารสำเร็จรูปขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญจากการเข้าไปลงทุนในประเทศดังกล่าวมากว่า 20 ปี จึงสามารถควบคุมคุณภาพสินค้า และความสะอาด สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตั้งแต่ต้นทาง ในปีนี้ ธุรกิจห้าดาวจึงตั้งเป้าขยายสาขาห้าดาวในทั้ง 2 ประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในเวียดนามปีนี้ตั้งเป้าจะขยายซุ้มห้าดาวเพิ่มเป็น 1,000 -1,200 สาขาทั่วประเทศ ขณะที่อินเดีย คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีร้านห้าดาวในรูปแบบฟาสต์ฟู้ดขนาดเล็กเพิ่มเป็น 300 สาขา"นายซานจีฟกล่าว
เมื่อปลายปี 56 ซีพีเอฟได้นำ “ห้าดาว" เปิดตัวเข้าสู่ธุรกิจอาหารในอินเดีย โดยในช่วงแรกมีรูปแบบเป็นซุ้มเหมือนประเทศไทย แต่ผู้บริโภคอินเดียรู้สึกไม่นิยมซื้อร้านค้าริมถนน จึงปรับรูปแบบใหม่เป็นร้านฟาสต์ฟู้ดขนาดเล็กพื้นที่ประมาณ 10 ตารางเมตร และคงราคาขายเดิมไว้ ปรากฎว่าได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคชาวอินเดีย ปัจจุบันมีสาขาห้าดาว 265 สาขาในเมืองใหญ่ของ 4 รัฐที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ คาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 300 สาขา และจะมีการขยายธุรกิจเข้าไปในภาคตะวันตกของประเทศ ตั้งเป้าใน 3 ปีข้างหน้า หรือในปี 60 ห้าดาวจะมีครบ 500 สาขา ในจำนวนดังกล่าวเป็นสัดส่วนแฟรนไชส์ร้อยละ 90
ร้านห้าดาวในอินเดียส่วนใหญ่อยู่ในรัฐที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย ได้แก่ รัฐกรณาฏกะ (Karnataka) ซึ่งมีเมืองใหญ่ อาทิ เมืองเบงกาลอร์ (Bengaluru)เมืองเชนไน (Chennai) โกชี (Kochi) เป็นต้น และภายใน 2 ปีข้างหน้า ธุรกิจห้าดาวจะนำแบรนด์ “ห้าดาว" รุกขยายเข้าไปในเมืองใหญ่ในรัฐเตลันกานา (Telangana) และ รัฐอานธรประเทศ (Andhra Pradesh) เป็นหลัก ขณะนี้บริษัทได้เข้าไปเปิดร้านห้าดาว 3 สาขาแล้วที่เมืองไฮเดอราบัด ซึ่งศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ เภสัชกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพ
ก่อนหน้านี้ซีพีเอฟได้ใช้งบลงทุน 1 พันล้านบาทสำหรับลงทุนโรงงานแปรรูปไก่ที่เบงกาลอร์สำหรับผลิตวัตถุดิบป้อนร้านห้าดาววันละ 10,000 ตัว และในปีนี้จัดสรรงบลงทุนอีกประมาณ 1,000 ล้านบาท สำหรับการขยายธุรกิจอาหารในอินเดียในระยะที่สอง เพื่อจะสร้างโรงงานแปรรูปแห่งที่สองในปี 59 และนำเทคโนโลยีการเป่าลมเย็น (Air-Chill Technology) มาใช้ในการยืดอายุการเก็บรักษาสินค้า ซึ่งนับเป็นเรื่องใหม่ในวงการอาหารของอินเดีย โรงงานแห่งใหม่ซึ่งจะมีกำลังการผลิตเนื้อไก่ประมาณ 20,000-30,000 ตัวต่อวัน
การขยายเข้าสู่ตลาดอาหารแปรรูป นับเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการเติบโตธุรกิจอาหารของซีพีเอฟในอินเดีย ทั้งนี้ ในปีหน้า เราเตรียมจะจัดจำหน่ายอาหารแปรรูปในบรรจุภัณฑ์แบรนด์ “ซีพี" โดยจะเน้นลูกค้าเป็นธุรกิจร้านอาหาร และโมเดิร์นเทรด เป็นหลัก และขยายธุรกิจห้าดาวเพิ่มขึ้นในพื้นที่ทางภาคตะวันตกของอินเดีย เช่น บังกาลอร์ ไฮเดอราบัด โกจี เป็นต้น
ขณะที่ธุรกิจห้าดาวในเวียดนามที่เข้าไปทำตลาดมากว่า 5 ปีแล้ว ด้วยรูปแบบซุ้มห้าดาว (Kiosk) เหมือนในประเทศไทย มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันในเวียดนามมีซุ้มห้าดาว 605 จุดส่วนใหญ่อยู่ในภาคใต้ และภาคเหนือ ในปีนี้วางเป้าหมายเพิ่มขึ้นเท่าตัว หรือ 1,000 – 1,200 กระจายการขยายสาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ เวียดนามยังได้นำร่องเปิดร้านห้าดาวในรูปแบบร้านอาหารฟาตส์ฟู้ดขนาดเล็ก (Quick Service Restaurant: QSR) ในรูปแบบเดียวกันกับร้านในประเทศอินเดียไปแล้ว 2 สาขาในเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ และได้การตอบรับที่ดี และในปีนี้จึงตั้งใจที่จะเปิดร้านห้าดาวในรูปแบบฟาสต์ฟู้ดขนาดเล็กในเวียดนามเพิ่มเป็น 10 สาขาอีกด้วย
ปัจจัยพื้นฐานของประเทศเวียดนามและอินเดียมีความคล้ายคลึงกัน เศรษฐกิจของประเทศมีศักยภาพมากและมีโอกาสเติบโตสูง ประชากรมีความรู้และรายได้ต่อหัวมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้คนเวียดนามและอินเดียมีกำลังการซื้อมากขึ้น ปัจจุบันอายุเฉลี่ยของประชากรทั้งสองประเทศอยู่ที่ 29-30 ปีถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในวัยทำงานซึ่งมีพฤติกรรมการบริโภคนิยมการรับประทานอาหารนอกบ้าน ขณะที่ “ห้าดาว" มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าที่เป็นคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาและวัยเริ่มต้นทำงานที่ต้องการบริโภคสินค้ารสชาติอร่อย มีคุณภาพสูง และในราคาที่สมเหตุสมผล