ไพโอเนียร์ฯ เตรียมยื่นไฟลิ่ง พ.ค.นี้หวังเข้าตลาด mai ช่วงก.ย.-ต.ค.58

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 28, 2015 10:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้รับหนังสือยืนยันการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.58 โดยมีทุนจดทะเบียน 130,000,000.00 บาท แบ่งเป็นทุนชำระแล้ว 100,000,000.00 บาท โดยภายหลังการจดทะเบียนดังกล่าวบริษัทจะใช้ชื่อบมจ.ไพโอเนียร์ มอเตอร์ และมีชื่อย่อว่า "PIMO" ในการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai

ขณะที่บริษัทเตรียมยื่นแบบเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(ไฟลิ่ง)ต่อกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นจำนวน 120,000,000 หุ้น พาร์หุ้นละ 0.25 บาท ในช่วงเดือนพ.ค.58 เพื่อจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในเดือนก.ย.-ต.ค.58 โดยแต่งตั้ง บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

สำหรับวัตถุประสงค์ในการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เนื่องจากจะช่วยให้มีความมั่นคง หวังเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มศักยภาพด้านการตลาด รวมไปถึงมีเงินทุนในการขยายธุรกิจให้เติบโตแบบยั่งยืน และการที่บริษัทเป็นบริษัทมหาชน ทำให้ PIMO เป็นบริษัทที่มีความโปร่งใส ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้า พันธมิตร และคาดจะช่วยหนุนให้กิจการเติบโตได้ในอนาคต

PIMO หนึ่งในผู้นำทางด้านการผลิตและจัดจำหน่ายมอเตอร์สำหรับเครื่องปรับอากาศ (Air Movement Motor) มอเตอร์กำลัง (Induction Motor) และเครื่องสูบน้ำ(Submersible Pump) ที่มีประสิทธิภาพสูง ภายใต้สินค้า Pioneer สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ปี ย้อนหลัง ตั้งแต่ปี 54-56 บริษัทมีรายได้ในปี 54 มูลค่า 362 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 470 ล้านบาทในปี 56และมีกำไรสุทธิ ในปี 54 เป็นจำนวน 6.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิในปี 57 จำนวน 29.9 ล้านบาทโดยรายได้มาจากสินค้าประเภทมอเตอร์แอร์คอนดิชันนิ่งเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนรายได้ในประเทศ 70% และต่างประเทศ 30%

นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ ของไพโอเนียร์ มอเตอร์ กล่าวว่า แผนการดำเนินงานปี 58 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 30% แตะ 600 ล้านบาท และคาดว่ารายได้จะเติบโตขึ้นแตะระดับ 1,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี (2558-2560) หรือเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปีโดยการเติบโตมาจาก 2 ปัจจัย โดยปัจจัยแรกคือการเติบโตจากดำเนินงานปกติ จากโปรดักส์ที่บริษัทดำเนินการในปัจจุบัน ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างการมองหาช่องทาง และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มยอดขาย ซึ่งยังไม่รวมกับเป้าการดำเนินงานตามปกติ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ