นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ CK คาดว่า กำไรสุทธิในปี 58 จะดีกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.29 พันล้านบาท เป็นผลมาจากการมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้นในบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด(XPCL) ให้กับ บมจ.ซีเค พาวเวอร์ (CKP) ประกอบกับแนวโน้มต้นทุนการขายและบริหารลดลง 10% จากปีก่อนที่ 1.4 พันล้านบาทหลังขายเครื่องจักรเก่าออกไป ทำให้ค่าใช้จ่ายค่าเสื่อมราคาลดลง
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 9-10% ใกล้เคียงกับ 10% ในปีก่อน เนื่องจากได้รับผลดีจากอัตราดอกเบี้ยลดลง ,ค่าวัสดุก่อสร้างและค่าเหล็กมีการปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 2/58 บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตอย่างโดดเด่นจากไตรมาส 1/58 ที่มีกำไรเติบโตตามปกติ เนื่องจากบริษัทจะบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนให้กับ CKP เข้ามากว่า 1 พันล้านบาท
"ในปีนี้การขายเงินลงทุนก็มีแค่ไซยะบุรีในตอนนี้ ยังไม่ได้คิดว่าจะมีการขายอย่างอื่นอีกไหม ส่วนความคืบหน้าของโรงไฟฟ้าไซยะบุรีก็ได้ผ่านจุดที่ยากที่สุดไปแล้ว ก็คงเสร็จอีกภายใน 4 ปี และมีโอกาสขายไฟได้ก่อนกำหนด 5-6 เดือน"นายปลิวกล่าว
นายปลิว กล่าวอีกว่า สำหรับในไตรมาส 1/58 บริษัทสามารถทำรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 7-8 พันล้านบาท และมั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 3.5 หมื่นล้านบาท โดยจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่างานในมือ (Backlog) ปีนี้ ราว 3.2-3.5 หมื่นล้านบาท จากมูลค่า Backlog ที่มีอยู่ 1 แสนล้านบาทในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังรอลุ้นงานโครงการภาครัฐที่จะออกมา โดยมองว่าจะมีงานจากภาครัฐออกมาในปีนี้กว่า 1 แสนล้านบาท อย่างเช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู โครงการรถไฟฟ้ารางคู่ และโครงการมอเตอร์เวย์ ซึ่งบริษัทคาดหวังได้งานภาครัฐ 20-25% ของมูลค่าดังกล่าว พร้อมกันนี้จะเข้าร่วมลงทุนดำเนินการในโครงการของภาครัฐแบบ PPP ทั้งโครงการทางด่วน รถไฟฟ้า โรงไฟฟ้า น้ำประปา โดยมีบริษัทในกลุ่มบมจ.ทางด่วนกรุงเทพ(BECL),บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ(BMCL), TTW และ CKP เป็นผู้ร่วมดำเนินการ
ในปีนี้คาดว่างานสัมปทานเดินรถ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย จะได้ข้อสรุปอย่างแน่นอน ซึ่ง CK ร่วมกับ BMCL มั่นใจว่าจะสามารถเร่งรัดดำเนินการโครงการนี้เปิดให้บริการแก่ประชาชนได้โดยเร็วที่สุด ส่วนงานต่างประเทศโดยเฉพาะพม่าและลาวซึ่งเป็น 2 ประเทศเป้าหมายสำคัญที่มีการเจริญเติบโตของธุรกิจสาธารณูปโภคเป็นอย่างมาก โดย TTW อยู่ระหว่างศึกษาโครงการและคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้
สำหรับการควบรวมกิจการระหว่าง BECL กับ BMCL ด้วยชื่อบริษัทใหม่ บริษัทคาดว่าจะสามารถนำหุ้นของบริษัทใหม่ภายหลังการควบรวมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ไนช่วงเดือน ส.ค. 58 หลังจากช่วงเดือน ก.ค.จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นของทั้ง 2 บริษัทเพื่อรับรองการเปลี่ยนชื่อบริษัท ซึ่งการควบรวมทั้ง 2 บริษัทดังกล่าวจะทำให้เสริมศักยภาพด้านการให้บริการทางด่วนพิเศษและการขนส่งมวลชนแบบครบวงจร