"แบงก์ชาติประกาศลดอัตราดอกเบี้ยมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจอยู่แล้ว แต่จะมากหรือน้อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตรงนี้มองว่านโยบายกนง.ได้ช่วยเศรษฐกิจแล้ว ส่วนภาคการคลังและภาคเอกชนจะกระตือรือร้นแค่ไหนก็เป็นอีกเรื่อง หากเงินบาทอ่อนค่าลงก็จะเป็นผลดีต่อการส่งออก ที่ผ่านมาบาทแข็งค่าเป็นผลจากการเกินดุลการค้าและเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาน้ำมันที่ลดลง และธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ก็ไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วย ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ"นายปรากรม กล่าว
นายปรากรม กล่าวต่อว่า ความเคลื่อนไหวของเงินบาทขึ้นอยู่กับ Capital Inflow และ Outflow ดังนั้น จึงเชื่อว่านโยบายของ ธปท.ยังไม่น่จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้ แต่ในเวลานี้เงินบาทอ่อนค่าเป็นเพียง Sentiment ช่วงสั้นเท่านั้น ทำให้เห็นบาทอ่อนค่าลงมาแถว 32.92 บาท แต่ก็มีโอกาสที่เงินบาทจะกลับไปแข็งค่าอีก อย่างไรก็ดีมองว่าเงินบาทแถว 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่าน่าจะเพียงพอที่จะช่วยเศรษฐกิจได้บ้างแล้ว
"นโยบายของแบงก์ชาตินี้เป็นนโยบายที่จะต้องใช้เวลาหรือรอเวลา เพราะมันไม่ใช่ Capital Control ไม่มีการ Control แต่อย่างไร"นายปรากรม กล่าว
สำหรับมาตรการของ ธปท.ในส่วนของการขยายวงเงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง เพิ่มเป็นไม่เกินปีละ 50 ล้านดอลลาร์ จากเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 10 ล้านดอลลาร์ต่อปีนั้น มองว่าจริง ๆ ในทางปฏิบัติทุกวันนี้ก็ทำกันอยู่แล้ว และก็ทำได้มากด้วย จึงเชื่อว่าคงไม่มีนัยเท่าไรนัก เพราะคนที่จะนำเงินออกไปสามารถอนุญาตทางการเป็นกรณีๆ ได้อยู่แล้ว แต่ขึ้นอยู่กับคนในประเทศจะมีเงินมากแค่ไหนด้วย
ส่วนมาตรการที่ให้โบรกเกอร์ทำธุรกรรม FX ได้นั้น มองว่า ไม่น่าจะทำได้เท่ากับธนาคารพาณิชย์ และการเพิ่มช่องทางการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่ให้บุคคลในประเทศลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศผ่านธนาคารพาณิชย์ได้ และเพิ่มผลิตภัณฑ์อย่าง Structured product เป็นเรื่องที่ธนาคารมีขายอยู่แล้ว ไม่น่าจะผลมีอะไรมาก
นอกจากนี้ การขยายวงเงินให้ Non-Resident กู้ยืมเงินบาทเพิ่มเป็น 600 ล้านบาท มองว่าขึ้นอยู่กับต่างประเทศที่จะกู้และธุรกรรมที่จะเกิดขึ้นน่าจะอยู่ในตลาดพันธบัตรมากกว่า นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับภาวะตลาดการลงทุนโดยรวมด้วย