บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า บมจ. สาลี่ พริ้นท์ติ้ง(SLP) มีจุดแข็ง คือ การมีอัตรากำไรที่สูงมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มบรรจุภัณฑ์ด้วยกันโดยในปี 2557 SLP มีอัตรากำไรสุทธิ (14.4% vs 2.9%) และ ROE (26.1% vs 4.6%) เหนือกว่ากลุ่มอย่างชัดเจน ส่งผลให้ Valuation ของ SLP จึงมีแนวโน้มที่จะมี Premium จากกลุ่มฯได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี ค่าเฉลี่ย PER กลุ่มฯ นั้น มองได้ 2 มุม ที่ 10.9 เท่า หรือ อาจสูงได้ถึง 34.4 เท่าก็ได้ในกรณีที่เอา TOPP (47.6x) และ PTL (45x) ซึ่งมี PER สูงมากเข้ามาคำนวนด้วย นั่นจึงทำให้ ราคาหุ้นอาจจะเหวี่ยงได้กว้างถึง 1.20 – 3.78 บาท/ หุ้น ดังนั้นการกำหนดราคาเสนอขายไว้ที่ 2.16 บาท/ หุ้น ซึ่งสะท้อนเป็น PER14 ที่ 21.6 เท่า และอยู่ใกล้กึ่งกลางกับช่วงดังกล่าว ทำให้คาดราคาหุ้นจะมีความผันผวนสูงระหว่างตลาดหาจุดร่วมของราคาหุ้นตัวนี้
SLP ปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่สูงมากที่ 86% ทำให้ได้ประโยชน์โดยขนาดอย่างชัดเจนจนมีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มมาก 14.4% (vs กลุ่ม 2.9%) โดยสินค้าหลักคือ ฉลากสินค้าที่มีกาวในตัว(Self Adhesive Label) ซึ่งได้รับความนิยมสูงในกลุ่มลูกค้าอุปโภคบริโภค ดังนั้นการที่ประเทศไทย มีแนวโน้มเป็นศูนย์กลางการผลิต และ Logistic ของ AEC ทำให้เปิดโอกาสให้ SLP และผู้ประกอบการด้านบรรจุภัณฑ์ของไทยจะเติบโตได้ในระยะยาว อย่างไรก็ดี จากการที่คู่แข่งส่วนใหญ่ของ SLP เป็นต่างชาติ ทำให้การแข่งขันด้านราคายังคงมีสูงมากในตลาดนี้เช่นกัน
SLP ประกอบธุรกิจฉลากสินค้า และงานพิมพ์คุณภาพสูง มีขนาดตลาดราว 8 พันล้านบาทในปี 2556 โดย SLP มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 2 ของไทยที่ 9% จากโดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการต่างชาติแทบทั้งสิ้น ซึ่งล้วนมีความชำนาญสูง ทำให้ผู้เล่นรายใหม่ๆจึงเข้าตลาดยากมาก ซึ่งการที่ SLP มีประสบการณ์ยาวนาน 18 ปี ทำให้ SLP สามารถยืนในจุดนี้ได้ ขณะที่ทิศทางอุตสาหกรรม ยังคงอิงกับภาวะเศรษฐกิจ การบริโภคเป็นสำคัญ ขณะที่ความต้องการฉลากสินค้า และงานพิมพ์คุณภาพสูง ก็มีความต้องการที่มากขึ้น หลากหลายขึ้นเช่นกัน ทำให้ผู้ประกอบการต้องมีการพัฒนาเครื่องจักรให้ทันสมัยตามความต้องการของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ