(เพิ่มเติม) BJCHI มั่นใจรายได้ปีนี้โตกว่า 15% ตามเป้า หลังปริมาณงานในมือเพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 11, 2015 12:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเซิง วู ลี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการ บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI) กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) กว่า 7 พันล้านบาท จาก ณ สิ้นไตรมาส 1/58 ที่มี Backlog อยู่ราว 2 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการรับงานใหม่ จากการร่วมทุน (JV) ที่มี Petrobras Netherlands B.V. ในประเทศบราซิลถือหุ้นใหญ่ มูลค่ามากกว่า 5 พันล้านบาท

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างรอลุ้นผลงานประมูลโครงการที่มีศักภาพสูง (High Potential Projects) อีกมูลค่ามากกว่า 5 พันล้านบาท

"การรับงานแปรรูปและประกอบโครงการสร้างกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ในครั้งนี้ เป็นงานที่มีบริษัทมีประสบการณ์มาก่อนหน้านี้ ซึ่งบริษัทมีความพร้อมในทุกๆด้าน ทั้งทีมงานและเครื่องจักร เพื่อส่งมอบงานตามสเปคที่ลูกค้ากำหนด และสามารถส่งมอบงานได้ตามเวลาที่ตกลงกัน และจากปริมาณงานในมือที่เพิ่มขึ้นทำให้บริษัทเชื่อว่ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15 %"นายเซิง วู ลี กล่าว

เมื่อช่วงเช้า BJCHI แจ้งว่าได้ลงนามในสัญญาจ้างงานวิศวกรรมออกแบบ จัดหา แปรรูปและประกอบโมดูล สำหรับเรือผลิตและกักเก็บปิโตรเลียม (FPSO) สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซฯในประเทศบราซิล ภายใต้ชื่อโครงการ REPLICANT FPSO MODULES PACKAGES III โดยมี TUPI B.V. เป็นเจ้าของโครงการ มีมูลค่าตามสัญญาจ้างจำนวน 162.90 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 5,400 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการประมาณ 18 เดือน

นายเซิง วู ลี คาดว่างานใหม่ดังกล่าวจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ราว 2.5 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 59 นอกจากนี้ถ้าลูกค้าพึงพอใจกับคุณภาพและบริการของโครงการนี้นั้น จะทำให้บริษัทมีโอกาสสูงที่จะสามารถรับงานลักษณะดังกล่าวเพิ่มเติมอีกกว่า 5 พันล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่างานจากโครงการดังกล่าวมีโอกาสเพิ่มขึ้นถึงระดับ 1 หมื่นล้านบาทในอนาคต

สำหรับปริมาณงานในมือที่เพิ่มขึ้นมาเป็นระดับกว่า 7 พันล้านบาทในขณะนี้นั้น คาดว่าจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/58 ขณะที่การได้รับงานจากประเทศบราซิลนั้น นอกจากจะส่งผลดีต่อการเติบโตของรายได้ของบริษัท แล้วนั้น ยังทำให้ผู้ให้บริการรับเหมาก่อสร้างในด้านอุตสาหกรรมหนักของไทยให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในชื่อเสียงและคุณภาพงานจากลูกค้าในต่างประเทศ อีกด้านหนึ่งยังคงส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยและทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดต่างประเทศด้วย

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังคาดว่าจะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังของปี 58 การรับรู้รายได้ส่วนใหญ่จะเป็นการรับรู้ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีความผันผวนน้อยกว่าค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์ ที่ปัจจุบันอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลง เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศออสเตรเลียได้รับผลกระทบจากการทำการค้ากับประเทศจีนเป็นหลัก ซึ่งเศรษฐกิจในประเทศจีนอยู่ในภาวะชะลอตัว อย่างไรก็ตามค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯในปัจจันเมื่อกับค่าเงินบาทยังอยู่ในภาวะแข็งค่า ทำให้บริษัทได้รับผลประโยชน์จากการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าหลังแปลงรายได้เป็นสกุลเงินบาท

"ครึ่งปีแรกก็ไม่ค่อยดีนัก เพราะรายได้บางส่วนยังมีรับรู้เป็นออสเตรเลียดอลลาร์ ซึ่งทำให้เราขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากค่าเงินออสเตรเลียดอลลาร์อ่อนค่าลง จะเห็นได้จากไตรมาสแรกของปีนี้ผลการดำเนินงานจะไม่ค่อยดีนัก แต่ยังมีกำไรอยู่ ส่วนไตรมาส 2 นี้ก็อาจจะดีขึ้นหน่อย แต่ไตรมาส 3 และ 4 จะเติบโตโดเด่นขึ้น เนื่องจากรายที่เข้ามาเป็นดอลลาร์สหรัฐฯเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า ในขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า ทำให้เวลาเราแปลงเป็นเงินบาท จะได้จำนวนเงินที่มากขึ้น"นายเซิง วู ลี กล่าว

นายเชิง วู ลี กล่าวอีกว่า นอกจากนี้บริษัทยังจะมีการประมูลงานใหม่ในประเทศออสเตรเลียในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งเป็นงานโครงการโมดูลก๊าซแอลเอ็นจี (APLNG) เฟส 3 มูลค่ามากกว่า 1 พันล้านบาท และงานพรีคาสท์ เฮาส์ซิ่ง ในประเทศออสเตรเลีย มูลค่า 400-500 ล้านบาท ซึ่งจะรู้ผลการประมูลในครึ่งปีหลังเช่นเดียวกัน

ขณะที่บริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิในปี 58 จะอยู่ที่ 20% โดยจะบวกลบไม่เกิน 5% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 30% บวกลบไม่เกิน 5% เช่นเดียวกัน โดยปีก่อนบริษัทอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 22% และอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29% จากการที่สัดส่วนรายได้จากการรับงานโดยไม่ผ่านผู้รับเหมาเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 90% จากปีก่อนที่ 70% ส่งผลผลักดันอัตรากำไรสุทธิและอัตรากำไรขั้นต้นมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากในแต่ละโครงการมีการกำหนดอัตรากำไรที่คงที่


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ