ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะได้ข้อสรุปการเจรจาช่วงปลายเดือน พ.ค.นี้ และจะซื้อกิจการแล้วเสร็จในไตรมาส 2/58 ซึ่งบริษัทจะเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน 51% ใช้เงินในหลักร้อยล้านบาท แหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดและเงินกู้จากสถาบันการเงินต่างชาติ
"ที่เราจะใช้เงินจากการกู้แบงก์ต่างชาติส่วนหนึ่งในการซื้อกิจการครั้งนี้ เพราะว่าตอนนี้อัตราดอกเบี้ยต่างประเทศถูกกว่าในประเทศค่อนข้างมาก ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทไม่เพิ่มไปสูงมากนัก และการซื้อกิจการที่เยอรมันแห่งนี้ก็จะเข้ามาเสริมศักยภาพให้แก่บริษัท เราได้มีการพูดคุยกันมาสักระยะหนึ่งแล้ว และบริษัทนี้มี Knowhow มี R&D ที่เราสามารถเอามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ และมีกำไรปีละพันกว่าล้าน"นายวิชัย กล่าว
นอกจากนั้น บริษัทยังมีการการเจรจากับพันธมิตรในเยอรมันอีกราย ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจประเภทเดียวกันกับ IFEC โดยได้มีการเจรจาไปเบื้องต้นกันแล้ว และอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางความร่วมมือในด้านธุรกิจว่าจะเป็นการร่วมทุนหรือซื้อกิจการ คาดว่าจะมีข้อสรุปออกมาในช่วงครึ่งปีหลังของปี 58
นายวิชัย กล่าวถึงผลการดำเนินงานของIFEC ในปี 58 ว่ากำไรสุทธิคาดว่าจะมากกว่าปี 57 ที่มีกำไร 72.70 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทจะรับรู้กำลังการผลิตไฟฟ้าในโครงการโซลาร์ฟาร์มเพิ่มเป็น 32 เมกะวัตต์ที่พร้อมจ่ายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ได้ทั้งหมด จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตโซลาร์ฟาร์มราว 14.5 เมกะวัตต์ ซึ่งอีก 18 เมกะวัตต์จะดำเนินการได้ทั้งหมดในปีนี้
"บริษัทได้เซ็นสัญญาการซื้อโซลาร์ฟาร์มกับพันธมิตรไว้แล้ว ซึ่งจะใช้เงินในการซื้อเมกะวัตต์ละกว่า 100 ล้านบาท ในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้บริษัทจะได้กำละงการผลิตเพิ่มเข้ามาอีก 2 เมกกะวัตต์ โดยโครงการโซลาร์ฟาร์มจะมีกำไรจากการจำหน่ายไฟเมกกะวัตต์ละ 10 ล้านบาทต่อปี"นายวิชัย กล่าว
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิต 6.8 เมกะวัตต์ โดยสามารถจำหน่ายไฟฟ้าไปแล้วส่วนหนึ่ง และจะขยายเพิ่มอีก 3 เมกะวัตต์ รวมสิ้นปีมีทั้งหมด 9 เมกะวัตต์ สร้างกำไรแก่เมกะวัตต์ละประมาณ 10 ล้านบาทต่อปี พร้อมกันนั้น ในช่วงไตรมาส 3/58 บริษัทจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในโครงการพลังงานลม 10 เมกะวัตต์ที่จะเป็นตัวที่ผลักดันกำไรช่วงครึ่งปีหลังของปี 58 ให้เติบโตอย่างโดดเด่นในครึ่งปีหลังมากกว่าครึ่งปีแรก
รวมไปถึงในปีนี้ยังมีการจ่ายไฟฟ้าในช่วงไตรมาส 4/58 ของโครงการไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเกาหลีใต้ขนาด 40 เมกะวัตต์ ซึ่งสร้างกำไรแก่บริษัทเมกะวัตต์ละ 12 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งบริษัทยังมีสัญญาการขายไฟในโครงการพลังงานงานลมอีก 15 เมกะวัตต์ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงกลางปี 59
นายวิชัย กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังจะออกมาโดเด่นกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากการมีรายได้และกำไรจากโครงการพลังงานลมเริ่มเข้ามาแล้ว และโครงการโซลาร์ฟาร์มเริ่มมีมากขึ้น ประกอบกับการบันทึกกำไรหลังจากการเข้าซื้อกิจการบริษัทในเยอรมัน ขณะที่ครึ่งปีแรกนั้นกำลังการผลิตของบริษัทยังมีน้อย และบริษัทยังไม่สามารถซื้อโครงการโซลาร์ฟาร์มได้ทั้งหมด ทำให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/58 ของบริษัทยังคงทรงตัว และคาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2/58 จะเป็นลักษณะทรงตัวคล้ายกับไตรมาส 1/58