นอกจากนี้ บริษัทฯตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ปีนี้เติบโตราว 5% และขึ้นแตะอันดับที่ 3 จากเดิมอยู่อันดับที่ 5 โดยจะมีการเพิ่มบัญชีรายบุคคลอีกราว 18,000 บัญชี จากลูกค้าทั้งหมดที่มีอยู่ปัจจุบัน 140,000 บัญชี และมีบัญชีที่ Active ประมาณ 36% ขณะที่มาร์เกตติ้งมีอยู่ที่ 340 ราย มองว่าจะมีการเพิ่มจำนวนมาร์เก็ตติ้งขึ้นเล็กน้อยราว 10 คน
ทั้งนี้ทางบล.กสิกรไทย มีการเตรียมความพร้อมให้กับนักลงทุน โดยเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุนทุกรูปแบบ เช่น KS Super Stork Mobile Application ที่ช่วยให้ข้อมูลด้านการลงทุน ,หุ้นกู้อนุพันธ์ ,บริการนายหน้าซื้อขายสัญญาล่วงหน้าที่อ้างอิงราคาหุ้นแบบปริมาณมาก
สำหรับในปี 58 บริษัทฯจะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ 2 รายการ ได้แก่ KS Automated Trading System (K-STAs) ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์อัตโนมัติที่มีการซื้อขายได้ทั้งหุ้นและอนุพันธ์ และ Offshore Trading บริการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ ที่จะเริ่มเปิดตัวในไตรมาส 3 นี้เป็นต้นไป โดยจะมีการลงทุนไม่น้อยกว่า 7 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยุโรป สิงค์โปร ฮ่องกง และ จีน เป็นต้น
"เราตั้งเป้าเพิ่มบัญชีรายบุคคลอีก 18,000 บัญชี จากปีก่อน 22,000 บัญชี ซึ่งเหตุผลที่ปีนี้ลดลงมาเล็กน้อย เพราะว่าเป็นไปตามภาวะของตลาดที่ Slow Down ทำให้นักลงทุนมีการลงทุนยากมากขึ้น บริษัทฯจึงเน้นการใช้ความรู้การลงทุนให้กับลูกค้า เพื่อเป็นอาวุธก่อนเข้าสู่สนามการลงทุนได้อย่างมั่นใจ"
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีการปรับลดปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในปีนี้ลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 45,000 ล้านบาท/วัน ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน จากเดิมได้คาดการณ์ไว้ว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 48,000 ล้านบาท/วัน เนื่องจากผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ออกมาไม่ค่อยดีนัก นักลงทุนมีความระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น ประกอบกับในช่วงไตรมาส 2/58 เป็นไปตามภาวะปกติที่นักลงทุนจะมีการลงทุนน้อยที่สุด ทำให้ฉุดปริมาณการซื้อขายทั้งปีลดลง
สำหรับในครึ่งปีหลังนี้ มองว่าเศรษฐกิจอาจจะมีการฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย และน่าจะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยดีกว่าครึ่งปีแรก ประเมิน GDP น่าจะเติบโตได้ 2.8%