นายพลภัทร คาดว่าจะระดมทุนผ่านการขาย IPO จำนวน 5,000 ล้านบาท เพื่อนำไปขยายสาขาในช่วง 3 ปีนี้ โดยในปี 60 จะมีจำนวนสาขา 30 สาขา ซึ่งในปี 58 จะเปิดสาขาใหม่ 4 แห่ง ได้แก่ หนองคาย นครราชสีมา บุรีรัมย์ และเชียงราย ใช้เงินลงทุน 1 พันล้านบาท ซึ่งจะเปิดได้ปลายปี 58 นี้ โดยสาขานครราชสีมา จะเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดและใช้เป็นจุดกระจายสินค้าอีกด้วย โดยในแต่ละสาขาจะตกแต่งดูเป็นโมเดิร์นเทรด
ส่วนในปี 59 จะเพิ่มสาขาอีก 10 สาขา เน้นกระจายสาขาไปที่ภาคเหนือและอีสาน อาทิ พิษณุโลก นครสวรรค์ ลำปาง มุกดาหาร ร้อยเอ็ด เป็นต้น คาดใช้เงินลงทุน 2.5 พันล้านบาท และ ปี 60 ขยายสาขาอีก 10 สาขา ใช้เงินลงทุน 2.5 พันล้านบาท หลังจากปี 60 บริษัทมีแผนจะขยายสาขาไปทั่วประเทศ และจะขยายสาขาลงไปทางภาคใต้ด้วย
นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดหาพื้นที่ในเขตกรุงเทพเพื่อจัดตั้งเป็นสำนักงานใหญ่ และเป็นแหล่งเก็บสต็อกสินค้าได้ถึง 5 หมื่นตัน ตั้งอยู่ที่บางกล้วยไทรน้อย ใกล้บางใหญ่ บนพื้นที่ 54 ไร่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 59
นายพลภัทร ยังกล่าวว่า บริษัทได้เล็งขยายสาขาพี-มาร์ท เข้าไปที่ สปป.ลาว และ เวียดนาม เพราะมีกำลังซื้อสูงและวัฒนธรรมการรับประทานอาหารคล้ายไทย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 60
สำหรับยอดขายบริษัทต้งเป้าหมายว่า ในปีนี้จะมีรายได้เติบโตเท่าตัวจากปี 57 ที่มีรายได้ 1,000 ล้านบาท เป็น 2,000 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกที่ผ่านมาทำได้แล้ว 500 ล้านบาท ในปี 59 คาดว่าจะมียอดขาย 4,000 ล้านบาท และในปี 60 จะมียอดขาย 6,000 ล้านบาท จากผลการขยายสาขา
"ถึงเศรษฐกิจไม่ดี แต่ของเราขายออกได้ตลอดเพราะเป็นอาหาร ปีนี้คาดว่าอาหารแช่แข็งเติบโต 10% จากปีก่อนที่มีมูลค่าตลาดอาหารแช่แข็งในประเทศประมาณ 1 หมื่นล้านบาท " นายพลภัทร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะปรับสัดส่วนยอดขายส่งลดลงและดันสัดส่วนยอดขายค้าปลีกมากขึ้น เป็นขายส่ง 60% ขายปลีก 40% จากปัจจุบันขายส่ง 80% ค้าปลีก 20% ภายใน 3 ปีนี้