ทั้งนี้ ตามแผนงานที่บริษัทได้วางไว้ว่าปีนี้จะเพิ่มจำนวนสาขา BEAUTY BUFFET 30 สาขา, BEAUTY COTTAGE 15 สาขา ,BEAUTY MARKET 10 สาขา และเพิ่มสาขาในตลาดต่างประเทศอีก 12 สาขา จากปัจจุบัน 22 สาขา กระจายอยู่ในเวียดนาม 12 สาขา กัมพูชา 6 สาขา ลาว 2 สาขา และพม่า 2 สาขา โดยการขยายสาขาต่างประเทศ จะเป็นลักษณะตัวแทนจำหน่าย จากปัจจุบัน สาขาทั้งในและต่างประเทศ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้ามากถึง 306 สาขา
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/58 บริษัทมีผลประกอบการที่โดดเด่นทั้งในแง่ของรายได้และกำไร โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 364.47 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 279.36 ล้านบาท จำนวน 85.11 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 30.47% และมีกำไรสุทธิ 76.00 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 52.27 ล้านบาท จำนวน 23.74 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 45.41% และมีอัตราการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมที่มีอยู่ (Same Store Sale Growth ) เป็นบวกถึง 17%
ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลประกอบการของ BEAUTY เติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE และ BEAUTY MARKET ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติ เช่น จีน ฮ่องกง และตะวันออกกลาง ที่เริ่มกลับมาในประเทศ เพื่อซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยสาขาในเมืองท่องเที่ยวของบริษัทมียอดขายเติบโตทุกสาขา ส่งผลให้ยอดจำหน่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม
ขณะที่กลุ่มลูกค้าคนไทยโดยเฉพาะกลุ่มไฮเอนด์ ได้เริ่มหันมาใช้สินค้าของบริษัททดแทนสินค้าแบรนด์เนมในบางรายการ ส่งผลให้บริษัทสามารถทำผลการดำเนินงานได้ดี สวนกระแสเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัว รวมทั้งเติบโตจากการขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้ามากถึง 306 สาขาในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ในวันที่ 14 พ.ค.58 บริษัทเตรียมจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงจำนวน และมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) ของบริษัทจากเดิมราคาพาร์ 1 บาทต่อหุ้น เป็นราคาพาร์ 0.10 บาทต่อหุ้น หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2558 มีมติอนุมัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนหุ้นสามัญเพิ่มขึ้นจากเดิม 300 ล้านหุ้น เป็นจำนวน 3,000 ล้านหุ้น จึงถือเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้น
"การเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้จาก 1 บาท เป็น 0.10 บาท เนื่องจากบริษัทต้องการให้หุ้นมีสภาพคล่องสูงขึ้นจากจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นและราคาหุ้นที่ลดลง เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท และช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย โดยไม่มีผลกระทบในแง่ Price Dilution และ Control Dilution รวมถึงไม่ทำให้มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นเปลี่ยนไป"น.พ.สุวินกล่าว