นายดีลิป กุมาร์ อากาวาล กรรมการ IVL เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าว่าในปีนี้จะมีรายได้เติบโตประมาณ 8% จากปีก่อนที่มีรายได้ในรูปแบบเงินสกุลเหรียญสหรัฐอยู่ที่ 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป้าหมายดังกล่าวอิงกับสมมุติฐานราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ 60-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งจากปัจจุบันจะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างดีมาอยู่ที่ระดับ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้มีโอกาสที่จะเห็นรายได้ของบริษัทในปีนี้ออกมาสูงกว่าเป้าหมาย
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/58 บริษัทจะเริ่มมีกำไรจากการสต็อกน้ำมัน (Stock Gain) เข้ามา เพราะราคาน้ำมันสูงขึ้นมาอยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และในไตรมาส 2/58 กำไรสุทธิน่าจะออกมาดี เพราะว่าราคาของ MPG ปรับตัวขึ้นมาที่ 50-70 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากไตรมาส 1/58 ประกอบกับแอทธิลีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิต MPG ก็มีราคาต่ำด้วย
ส่วน PTA ก็มีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากโรงงานขนาดใหญ่ในจีนปิดตัวลง ทำให้ปริมาณการผลิตในตลาดโลกลดลง ทำให้อัตรากำไร(มาร์จิ้น)ของ PTA ปรับตัวสูงขึ้น และสำหรับ PET ในไตรมาส 2/58 ราคาก็ปรับขึ้นมา 20 เหรียญสหรัฐ/ตัน และความต้องการในยุโรปและสหรัฐอเมริกาก็เพิ่มขึ้น เพราะเข้าสู่ฤดูร้อนที่มีความต้องการใช้ขวดพลาสติกสูง
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทจะมีกำลังการผลิตทั้งหมด 8.5 ล้านตันต่อปี เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 19% เป็นผลมาจากการที่บริษัทซื้อกิจการแห่งใหม่เข้ามา 4 แห่งในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ Polyplex (ตุรกี), Performance Fibers (จีน), Bangkok Polyester (ไทย) และ Cespa (แคนาดา) ใช้งบลงทุนไปทั้งสิ้น 500 ล้านเหรียญสหรัฐ จากงบลงทุนช่วง 3 ปี(58-61)1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะใช้ลงทุนในการซื้อกิจการเป็นหลัก อีกทั้งบริษัทตั้งเป้าว่าในปี 61 จะมีกำลังการผลิตไม่น้อยกว่า 10 ล้านตันต่อปี
นายอากาวาล กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศแถบตะวันตก กำลังการผลิตอยู่ที่ 7 แสนตัน/ปี และสามารถผลิต HAV ได้ 1.5 แสนตัน/ปี คาดว่าในปีนี้น่าจะได้ข้อสรุป และบริษัทยังศึกษาแผนการเข้าไปลงทุนในอาบูดาบีกับบริษัทน้ำมันดิบที่ แต่ต้องดูก่อนว่าจะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ และยังศึกษาถึงแผนการเข้าไปลงทุนทำโรงงานแครกเกอร์ เพื่อผลิตแอธิลีนจากเชลล์แก๊ส
ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงปี 54-55 จะเห็นได้ว่าบริษัทมีการซื้อกิจการค่อนข้างมาก และพึ่งกลับมาซื้อกิจการอีกในปีนี้ เพราะว่าบริษัทต้องมีการเตรียมความพร้อมด้านการเงิน โดยปัจจุบันเมื่ออัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทกลับมาต่ำกว่า 1 เท่า จึงเป็นโอกาสให้บริษัทกลับมาซื้อกิจการอีกครั้ง ประกอบกับช่วงที่ผ่านมา ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลง ทำให้การเข้าซื้อกิจการสามารถทำได้ในราคาที่ดีกว่าช่วงปกติ