ทั้งนี้ ในวันแรกที่เปิดให้บริการ บริษัทได้เปิดจุดบริการย่อยให้กับลูกค้าภายใน 4 สาขาของร้าน "coffee bean tea leaf"ที่สยามพารากอน, เซ็นทรัลเวิลด์, เมเจอร์ รัชโยธิน และพาราไดซ์ พาร์ค
"เราเป็นโบรกฯใหม่ เป้าหมายการตลาดจะมุ่งเน้นลูกค้าขนาดกลางและเล็ก แบ่งสัดส่วนเทรดแบบออนไลน์ 80% และเทรดปกติแบบ traditional อีก 20% มาร์เก็ตแชร์เรายังไม่ได้หวัง ให้มันค่อยเป็นค่อยไป เราเน้นจำนวน member เป็นหลัก บัญชีลูกค้าสิ้นปีนี้น่าจะได้ 1 พันบัญชี ปีถัดไปก็เพิ่มเป็น 1 หมื่นบัญชี ก่อนจะเป็น 2 หมื่นบัญชีภายใน 2 ปี...แต่ยอมรับว่าปีแรกคงยังไม่มีกำไร" นายชาญชัย กล่าว
ASL เป็นโบรกเกอร์หมายเลข 50 มีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท โดยมีนายชาญชัย ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารของ บล.แอ๊ดคินซัน และครอบครัวถือหุ้นในสัดส่วน 65% ส่วนที่เหลืออีก 35% เป็นการถือหุ้นของกลุ่มเศรษฐีวรรณ ซึ่งอยู่ในธุรกิจค้าข้าวและอสังหาริมทรัพย์
นายชาญชัย กล่าวว่า กลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจโบรกเกอร์ของบริษัทมี 2 ประเด็นสำคัญ คือ คุณภาพการบริการและระดับราคาที่เหมาะสม โดยในแง่ของบริการนั้น จะมีระบบการซื้อขายและบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้บริการลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการให้ความสะดวกในการส่งคำสั่งซื้อขาย ลูกค้าสามารถทำรายการและรับบริการผ่านคอมพิวเตอร์พีซีและโน้ตบุ๊ค รวมถึงแทปเล็ต ซึ่งจะมีข้อมูลต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุน เช่น Settrade, กราฟ, ข่าวสาร รวมถึงระบบ chat กับฝ่ายวิจัยโดยตรง
ส่วนในด้านระดับราคาค่าบริการ คาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยสำหรับกลุ่มนักลงทุนขนาดกลางและขนาดเล็กที่ตลาดรวมคิดค่าคอมมิชชั่นในช่วง 0.15-0.25% แต่บริษัทมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุน เพราะไม่มีการลงทุนตั้งห้องค้าขนาดใหญ่ และมีรายจ่ายค่าจ้างพนักงานค่อนข้างต่ำ เนื่องจากปัจจุบันใช้พนักงานเพียง 40 คน และไม่มีนโยบายซื้อตัวพนักงานของโบรกฯอื่น โดยเฉพาะมาร์เก็ตติ้ง
สำหรับงานด้านวาณิชธนกิจ(IB) เป็นแผนงานในอนาคต ซึ่งคงจะเน้นการเป็นผู้เสนอขายหลักทรัพย์ โดยเน้นความร่วมมือกับที่ปรึกษาทางการเงินอื่นๆ และยังไม่มีแผนนำ ASL เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่อาจจะพิจารณานำธุรกิจโฮลดิ้งที่ขณะนี้ถือหุ้นส่วนตัวอยู่ทั้ง 100% เข้าจดทะเบียนในช่วง 3 ปีข้างหน้า
นายชาญชัย ยังกล่าวถึงทิศทางตลาดหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มที่ดี แม้ว่าจะมีสิ่งผิดปกติอยู่ ซึ่งจะเห็นได้จากในอดีตไม่ว่าจะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นอย่างไร ดัชนีก็ยังสามารถดีดตัวขึ้นได้ โดยคาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์(SET Index) จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,400-1,500 จุด แต่ในปีหน้าเชื่อว่าประเทศไทยจะได้รับผลดีจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ด้วยการเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของภูมิภาค และมีความพร้อมพอสมควรที่จะเติบโตไปได้