ในปีนี้บริษัทคาดว่าสัดส่วนกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปีก่อนอยู่ที่ 24% ภายใต้กำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 1,600 เมกะวัตต์ โดยโรงไฟฟ้าในประเทศจีนทั้ง 3 แห่ง น่าจะสามารถทำกำไรได้ไม่น้อยกว่าปีก่อนที่มีกำไร 26 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่โรงไฟฟ้า BLCP หลังจากมีการเลื่อนการปิดซ่อมบำรุงมาในช่วงไตรมาส 1/58 จากแผนเดิมในช่วงไตรมาส 4/58 ส่งผลให้รายได้ในไตรมาสก่อนลดลงไป แต่คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ทั้งปี อีกทั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสาในประเทศลาวจะเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ตามแผนงานตั้งแต่ในปีนี้
ขณะที่ธุรกิจถ่านหินของบริษัทมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยคาดว่าราคาถ่านหินจะเข้าใกล้สมดุลมากขึ้นภายในปีนี้ หลังจากเหมืองในอินโดนีเซียลดปริมาณการผลิตและส่งออกลง ดังนั้น บริษัทจึงเจรจาเข้าซื้อกิจการเหมือนถ่านหินในอินโดนีเซียเพิ่มเติม โดยขณะนี้เจรจาอยู่ 2-3 ราย คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้บ้างภายในปีนี้
นางสมฤดี กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าปริมาณการผลิตและการขายถ่านหินปีนี้ที่ 49 ล้านตัน โดยจะเจาะกลุ่มตลาดเอเชียเพิ่มมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ตลาดหลักของบริษัท คือ จีน 25% อาเซียน 14% ออสเตรเลีย 17% ญุ่ปุ่น 15% อินโดนีเซีย 10% เกาหลี 6% และไต้หวัน 4% ขณะที่ปีนี้จะยังคงรักษา EBITDA margin ใกล้เคียงปีก่อนที่ 1.95 หมื่นล้านบาท
สำหรับภาวะตลาดถ่านหินยังมีแนวโน้มราคาลดลง โดยปัจจุบันอยู่ที่ 61-62 เหรียญ/ตัน แต่เชื่อว่าไม่น่าจะต่ำไปกว่านี้ หรือน่าจะเคลื่อนไหวในช่วง 59-60 เหรียญ/ตัน อย่างไรก็ตาม ความต้องการถ่านหินในตลาดยังคงมีอยู่มาก ทั้งในอินเดีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน และจีน เป็นต้น เพื่อนำไปใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า และยังมีความคาดหวังว่าอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตหลักของโลกจะส่งออกถ่านหินลดลงในปีนี้ ส่งผลทำให้ราคาถ่านหินสะท้อนราคาที่สมดุลขึ้น