การเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมในไตรมาส 1/58 ได้รับการตอบรับจากลูกค้าซึ่งให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าความต้องการที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียมยังคงมีอยู่มาก โดยเฉพาะทำเลที่มีศักยภาพแนวรถไฟฟ้า สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯได้อย่างลงตัวที่สุด ทำให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 41% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้
บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า 2 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการ แอชตัน เรสซิเดนท์ 41 ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 41 มูลค่าโครงการกว่า 1,822 ล้านบาท ซึ่งสามารถปิดการขาย Sold out 100% และโครงการ แอชตัน จุฬา-สีลม ตั้งอยู่บนถนนพระราม 4 มูลค่าโครงการ 8,674 ล้านบาท ซึ่งสามารถปิดการขายได้ 80% ด้วยยอดขาย 5,609 ล้านบาท จากมูลค่าที่เปิดขายกว่า 6,900 ล้านบาท ประกอบกับยอดขายจากโครงการที่เปิดขายก่อนหน้า ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายในไตรมาสแรกสูงถึง 9,355 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 336.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ ณ สิ้นไตรมาส 1/58 จำนวน 34,273 ล้านบาท โดยมีกำหนดโอนตลอด 3 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้น 28.5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นถึง 80.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 1,201 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 74 ล้านบาท โดยเป้ารายได้ทั้งปียังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ก่อนหน้าอยู่ระหว่าง 10,000-11,000 ล้านบาท
สำหรับในไตรมาส 1/58 บริษัทสร้างอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 5% และในไตรมาสนี้ยังไม่ได้มีโครงการใหม่ๆ ก่อสร้างแล้วเสร็จ บริษัทสร้างกำไรที่ดีกว่าเป้าหมาย จากการที่บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการควบคุมต้นทุน โดยค่าใช้จ่ายในการขายต่อยอดขาย ลดลงจาก 9% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เหลือเพียง 2% ในไตรมาสนี้ นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลง 6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าบริษัทมีการเติบโตอย่างรวดเร็วก็ตาม
ถึงแม้ว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้ายังคงมีอัตรายอดขายที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา และบริษัทฯ มองเห็นความต้องการคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะภาครัฐให้การสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชน รถไฟฟ้าสายต่างๆ ก็ยิ่งทำให้วิถีชีวิตการอยู่อาศัยของคนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งก่อให้เกิดความเจริญ อีกทั้งรูปแบบการพักอาศัยก็มีการปรับเปลี่ยนจากการอยู่อาศัย บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ มาเป็นคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในเป็นผู้นำและการพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าที่สามารถตอบโจทย์และสอดรับกับไลฟ์สไตล์ของคนกรุงเทพฯ ได้อย่างดีที่สุด
นอกจากนี้บริษัทยังคงพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มความรวดเร็ว และประสิทธิภาพในการก่อสร้าง โดยทางมิตซุยได้ถ่ายทอดองค์ความรู้การบริหารและควบคุมคุณภาพโครงการ (TQPM : Total Quality Project Management System) และ เทคโนโลยี Building Information Modeling ซึ่งครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดของบริษัทฯ โดยมีส่วนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านระยะเวลาในการออกแบบ และควบคุมคุณภาพในอนาคต
บริษัทฯ มีกระแสเงินสดในปี 2558 ที่มั่นคงและแข็งแกร่ง พร้อมกับมีเงินสดเกินกว่า 1,900 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1/58 และยังคงได้รับการสนับสนุนที่ดีจากธนาคาร รวมถึงมีทางเลือกหลายทางหากจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน ทั้งนี้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ 2,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 4.8% ระยะเวลา 3 ปี ซึ่งช่วยทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ ลดลงอีกด้วย แม้ว่าบริษัทจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ยังคงรักษาวินัยทางการเงินอย่างเข้มงวด นำไปสู่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายต่อยอดขาย และค่าใช้จ่ายคงที่ ซึ่งลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน บริษัทจะรักษาวินัยทางการเงิน และบรรลุเป้าหมายการเติบโต พร้อมดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุน ต่ำกว่า 1:1