ในปีนี้บริษัทวางแผนเปิดโครการทั้งสิ้น 7 โครงการ มูลค่ารวม 1.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครการแนวราบระดับพรีเมี่ยม 4 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ
อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1.39 หมื่นล้านบาท หรือเติบไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน และเป้าหมายยอดขายจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 1.3 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% จากปีก่อน โดย ณ 31 มี.ค. 58 บริษัทมีโครงการต่อเนื่องที่เปิดขายอยู่ทั้งหมดจำนวน 34 โครงการ มูลค่าโครงการรวมราว 2.7 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 25 โครงการ และโครงการแนวสูง 9 โครงการ
ในวันนี้บริษัทได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ระดับ Super Luxury ชื่อโครงการ SALADAENG ONE มูลค่าโครงการ 4.7 พันล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลซอยศาลาแดง 1 ใกล้กับอาคารอื้อ จื่อ เหลียง โดยโครงการดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ 3 งาน เป็นอาคารสูง 33 ชั้น จำนวน 185 ยูนิต มีขนาด 1-3 ห้องนอน พร้อมห้อง Duplex และห้องแบบ Penthouse กับอีก 2 Pool Villa ส่วนขนาดห้องมีพื้นที่เริ่มต้นตั้งแต่ 50 ตารางเมตร ไปจนถึง 420 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 13 ล้านบาท พร้อมเปิดขาย 23-24 พ.ค. นี้ในงาน The Premier of SALADAENG ONE
สำหรับโครงการ SALADANEG ONE ได้มีการจัด Privilege Preview ในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยนำเสนอยูนิตพิเศษบางส่วนที่คัดสรรให้กับลูกค้าวีไอพี โดยมียอดพรีเซลส์แล้ว 900 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทคาดว่าโครงการ SALADAENG ONE จะมียอดขายสูงกว่า 50% ภายในปีนี้
นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า ตามแผน 5 ปี (ปี 58-62) บริษัทตั้งเป้าหมายอัตรากำไรสุทธิเพิ่มเป็น 15% ในปี 62 จากที่คาดระดับ 12% ในปีนี้ และตั้งเป้ากำไรสุทธิต่อปีเติบโตมากกว่า 10% ขณะที่รายได้จะเติบโตเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 10% ทำให้ในปี 62 รายได้บริษัทแตะ 2 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมาย 1.39 หมื่นล้านบาทในปีนี้ ซึ่งการเติบโตของรายได้จะมาจากการทยอยโอนโครงการ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 9.6 พันล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 40% และจะทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 61
อย่างไรก็ตามบริษัทมั่นใจว่ารายได้ไนปีนี้จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย แม้ว่าในไตรมาส 1/58 จะทำรายได้ได้เพียง 2.07 พันล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1 ของทุกปียังไม่มีโครงการโอนเข้ามามาก ซึ่งโครงการของบริษัทจะเริ่มทยอยโอนเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/58 เป็นต้นไป และในช่วงไตรมาส 4/58 จะมีการโอนโครงการเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากการโอนโครงการเกือบทั้งหมดของโครงการคอนโดมิเนียมเซนทริค พัทยา ทำให้มองว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก ขณะที่ยอดขายของบริษัทในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ ทำได้แล้ว 3.5 พันล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ 1.3 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/58 มียอดขายเพิ่มขึ้น 132% มาที่ 2.72 พันล้านบาท ซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะมาจากโครงการในระดับตลาดบนที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก เนื่องจากยังมีกำลังซื้ออยู่มากในตลาดบน และกลยุทธ์ของบริษัทในปีนี้จะเน้นไปที่โครงการในระดับบนเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามในครึ่งปีหลังยังจะมีโครงการใหม่ที่รอเปิดเพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 8.15 พันล้านบาท หลังจากที่ครึ่งปีแรกเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 5.85 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยสนับสนุนยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ส่วนงบซื่อที่ดินปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 5.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้ไป 4.7 พันล้านบาท โดยขณะนี้งบซื้อที่ดิน ได้ใช้ไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นายณัฐพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทเฉลี่ยในปัจจุบันอยู่ที่ 7-8% เพิ่มขึ้น 2% จากสิ้นปี 57 ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากโครงการในระดับกลาง-ล่าง ที่ยังมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อในระดับหนึ่ง แต่โครงการในระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาท ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมานั้นพบว่าไม่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อเลย หรือมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่ 0% อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นยังมาจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะมีการชะลอตัวลงบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ทำให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออยู่ ประกอบกับภาวะเศษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัวขึ้น อย่างไรก็ตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ
ด้านการเจรจากับพันธมิตรต่างชาติ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในเอเชีย 1-2 ราย ซึ่งพันธมิตรดังกล่าวมีความสนใจบริษัท ซึ่งได้มีการติดต่อเข้ามาเจรจา โดยพันธมิตรต่างชาติมีความต้องการที่จะร่วมทุนกับบริษัทแบบ Project by Project ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจา คาดว่าจะยังไม่มีข้อสรุปในเร็วๆนี้ และการที่บริษัทจะมีการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศก็ จะยังไม่เห็นในช่วง 2-3 ปีเช่นกัน
"ตอนนี้ผมก็มีคุยกับพันธมิตรในเอเชีย 1-2 ราย เขาสนใจบริษัทเราแล้วก็ติดต่อเข้ามา ซึ่งเขาอยากร่วมลงทุนแบบร่วมทุนกับบริษัทในลักษณะ Project by Project แต่ตอนนี้ก็ยังคุยๆกันอยู่ ได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้ไหม ก็คงยังไม่ได้ ก็ขอคุยๆกันไปก่อน ผมก็ไม่ปิดโอกาสตรงนี้ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสที่ดีให้กับบริษัท ส่วนการที่เราจะไปลงทุนในต่างประเทศนั้นในช่วง 2-3 ปีตามแผนกลยุทธ์ 5 ปี ก็คงยังไม่เห็น"นายณัฐพงศ์ กล่าว