บริษัทฯ มีกำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2557 โดยมีสาเหตุหลักมาจากยอดการโอนที่ดินที่ลดลงเมื่อเทียบกับยอดการโอนที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2557 เนื่องจากมีการขายที่ดินลดลงอันเป็นผลจากสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงปี 2557 รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงของโครงการเก็คโค่-วันในไตรมาส 1 ปี 2558
นอกจากนั้น ไตรมาสที่ 1 2558 บริษัทฯ ไม่มีรายได้จากการขายอาคารชุดโครงการเดอะพาร์คชิดลม เนื่องจากโครงการดังกล่าวได้ขายไปเกือบหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม รายได้จากการให้บริการด้านสาธารณูปโภค และรายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรม และเชิงพาณิชย์ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ บริษัทเหมราชฯ ยังคงอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 44.2 เท่ากันกับช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2557 ถึงแม้ว่าจะมีรายได้ที่ลดลงก็ตาม (อัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.6 เมื่อเทียบกับร้อยละ 34.3 ในไตรมาสที่ 1 ปี 2557)
นายนาร์โดน กล่าวว่า ผลการดำเนินงานและผลประกอบการในช่วง 3 เดือนแรกที่ค่อนข้างน่าพอใจท่ามกลางสภาวะทางเศรษฐกิจโดยรวมของไทย ทั้งนี้บริษัทฯ มีรายได้จากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 58 โดยเป็นการรับรู้รายได้เมื่อมีการโอนที่ดิน และยอดรายได้รอการรับรู้ที่ลดลงนั้นเป็นผลจากยอดการผลิตยานยนต์ที่ลดลงในปี 2557 รวมถึงเงื่อนไขการลงทุนในภาพรวมไม่เอื้ออำนวย ในส่วนของรายได้รวมจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในทุกกลุ่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2557 และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม (ไม่รวมพลังงาน) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สำหรับไตรมาสแรกปี 2558 บริษัทฯ สามารถขายที่ดินอุตสาหกรรมได้จำนวน 186 ไร่ (74 เอเคอร์ หรือ 30 เฮกตาร์) จากสัญญาจำนวน 9 สัญญา โดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 7 ราย และจากขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมอีก 2 ราย โดยร้อยละ 54 เป็นลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมยานยนต์
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศที่ลดลงร้อยละ 13 ในขณะที่ยอดการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ส่งผลให้ปริมาณการผลิตรถยนต์โดยรวมเติบโตเพียงร้อยละ 1 ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2558 มูลค่าการส่งออกยานยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตัวเลขยานยนต์คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.84 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด หากมองในระยะยาวจะพบว่ายังคงมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่และการลงทุนด้านเทคโนโลยียานยนต์อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอาจมีความล่าช้าบ้างก็ตาม ทั้งนี้ นิคมเหมราชฯ ยังคงเป็นเป้าหมายของการลงทุนข้ามชาติขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นโดยลำดับ นอกจากนี้โรงงานประกอบรถยนต์ 4 รายที่ตั้งอยู่ในนิคมฯ เหมราช ก็ได้รับการอนุมัติโครงการ Eco Car 2 เรียบร้อยแล้ว
ในสามเดือนแรกของปี 2558 โครงการที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) แล้วมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 218,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 523 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557 สะท้อนให้เห็นถึงปริมาณโครงการที่ยังตกค้างรอการอนุมัติอีกจำนวนมาก
สำหรับไตรมาสที่ 1 ปี 2558 พื้นที่ให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปรวมพื้นที่เช่าภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเหมราชอินดัสเตรียล (HPF) มีจำนวนเท่าเดิมคือ 301,896 ตร.ม. ในขณะที่บริการคลังสินค้าให้เช่าของเหมราชฯ มีพื้นที่เพิ่มขึ้น 5,145 ตร.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 6 จากยอดของปี 2557
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้า โครงการโรงไฟฟ้าอิสระเก็คโค่-วัน ขนาด 660 เมกกะวัตต์ (IPP) เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เหมราชถือหุ้นร้อยละ 35 และบริษัทโกลว์ถือหุ้นร้อยละ 65 (GDF Suez Group) สามารถผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้เพียงร้อยละ 56 ในไตรมาสที่ 1 ปี 2558 เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุง โดยบริษัทเหมราชฯ ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนในธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค (ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง) เป็นจำนวน 241.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ในปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ บริษัทเหมราชฯ ได้ลงนามในข้อตกลงถือหุ้นกับบริษัทบี.กริม และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กอีก 7 โครงการ โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป และการลงทุนครั้งนี้จะช่วยส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าในส่วนที่เหมราชถือครองเพิ่มขึ้นจาก 318 เมกกะวัตต์ เป็นทั้งสิ้น 538 เมกกะวัตต์ ภายในปี 2562 และตามรายงานเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 หลังจากจบไตรมาส บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อหุ้นของเหมราชฯ คิดเป็นร้อยละ 92.88 จากจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการขอซื้อหุ้นร้อยละ 22.53 จากผู้ถือหุ้นที่เป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ไปแล้วสองราย
การผนึกกำลังความเป็นผู้นำของดับบลิวเอชเอ และเหมราชฯ จะทำให้ทั้งสองบริษัทสามารถนำเสนอสินค้าและบริการด้านนิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภค โรงไฟฟ้า และโลจิสติกส์ที่ครบวงจรให้แก่ลูกค้า และสร้างเสริมความสำเร็จร่วมกันต่อไป บริษัทฯ มีแหล่งรายได้จากหลายธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2558 ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย บริษัทฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างผลกำไรจากการลงทุนที่ก่อให้เกิดรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์ของบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวเป็นหลัก
สำหรับสามเดือนแรกของปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,541.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 45 เมื่อเทียบกับ 2,829.1 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2557 โดยรายได้มาจากธุรกิจหลักจำนวน 1,543.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 45 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2557 โดยรายได้การขายที่ดินอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาสแรก ปี 2558 มีจำนวน 874.4 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 58 โดยมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 56 ทั้งนี้ยังมีรายได้จากการขายที่ดินอุตสาหกรรมที่มีการลงนามสัญญาซื้อขายไปแล้ว แต่รอการรับรู้อีกจำนวน 1,091 ล้านบาทในช่วง 3-12 เดือนข้างหน้าด้วยวิธีการรับรู้รายได้ทั้งจำนวนเมื่อมีการโอนรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 429.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เนื่องจากมีปริมาณการใช้สาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น รายได้รวมจากระบบสาธารณูปโภคซึ่งรวมถึงรายได้จากระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม เงินปันผลจากบริษัทด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และรายได้จากระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่นๆ จำนวน 433.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3
รายได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และการให้บริการโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าสำนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 235.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปจำนวน 120.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 สะท้อนให้เห็นว่ามีความต้องการกำลังการผลิตที่สูงขึ้น ส่วนรายได้จากคลังสินค้าให้เช่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 38.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 และรายได้จากการให้เช่าฐานวางท่อและสำนักงานขยับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 37.4 ล้านบาท และ 23.9 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 14 และร้อยละ10 ตามลำดับ เนื่องจากอัตราการเช่าพื้นที่และอัตราค่าเช่าที่สูงขึ้น
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 784.4 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 694.7 ล้านบาท ในไตรมาสที่หนึ่งของปี 2558 โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) อยู่ที่ร้อยละ 51 และร้อยละ 45 ตามลำดับ