ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา 1-2 ปี นับจากนี้ถือเป็นปีแห่งการลงทุนของ JMT Plus และปีที่ 3 เป็นต้นไป จะเป็นปีที่ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น ซึ่งประเมินว่าเมื่อถึงเวลานั้นผลการดำเนินงานของ JMT Plus จะทำกำไรสูงในระดับ 15% ของกำไรรวมของ JMT และบริษัทฯอาจพิจารณานำ JMT Plus เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นลำดับต่อไป
"JMT Plus จะเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งจากฐานธุรกิจเดิมของ JMARTผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและธุรกิจ ติดตามหนี้สินหรือซื้อหนี้ในนาม JMT ที่สามารถต่อยอดให้ธุรกิจการปล่อยสินเชื่อของ JMT Plus โตอย่างรวดเร็วและยั่งยืน ซึ่งหลังจากการลงทุน 1-2 ปีผ่านไป ปีที่ 3 จะเป็นปีที่เห็นผลงานงอกเงยเติบโตอย่างชัดเจน และเราอาจพิจารณานำ JMT Plus เข้าตลาดหุ้นในลำดับต่อไป"นายปิยะ กล่าว
นายทาเคฮารุ อุเอมัทซึ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที พลัส จำกัด เปิดเผยว่า JMT Plus วางแผนให้บริการสินเชื่อ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.สินเชื่อส่วนบุคคล, 2.สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์, 3.นาโนไฟแนนซ์ (Nano Finance) และ 4.สินเชื่อเช่าซื้อ
กลยุทธ์หลักที่จะนำมาใช้ คือ กลยุทธ์ด้านดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งทาง JMT Plus ยืนยันว่าลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าผู้ให้สินเชื่อรายอื่นๆ เช่น สินเชื่อบัตรเครดิตที่คิดดอกเบี้ยลูกค้าในอัตรา 20% และในปีแรกนี้วางเป้าหมายว่าสินเชื่อส่วนบุคคลจะเป็นกลุ่มหลักที่เติบโตสูงสุด โดยคาดว่าจะปล่อยสินเชื่อกลุ่มนี้ในวงเงินรวมประมาณ 200 ล้าน บาท ขณะที่กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จะโดดเด่นในปี 559 เนื่องจากรถยนต์มือสองราคาถูกจะออกสู่ตลาดมากขึ้น
"จากประสบการณ์ที่อยู่ในตลาดสินเชื่อมา 25 ปี กับบริษัทยักษ์ใหญ่และทำงานทั้งในประเทศญี่ปุ่น, เกาหลี, เวียดนาม, อินโดนีเซีย และไทย ผมจะนำมาพัฒนาและสร้าง JMT Plus ให้ ก้าวสู่เป้าหมายสูงสุดได้อย่างแน่นอน เรามีกลยุทธ์ เสนอดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าคู่แข่ง และเน้นการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าเก่าที่มีประวัติที่ดีจาก JMART และลูกค้าใหม่ที่เราจะตรวจสอบประวัติด้านการเงินอย่างเข้มข้น"ทาเคฮารุ กล่าว