โดยโครงการนำร่องเฟสแรก ครอบคลุมคลังสินค้า 16 ยูนิต ขนาดพื้นที่อาคาร 2,160 ตารางเมตร (ตร.ม.)รวมพื้นที่ให้เช่าทั้งสิ้น 34,560 ตร.ม. ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และมีผู้เช่าคลังสินค้าแล้วกว่า 81% โดย SLP วางแผนพัฒนาโครงการในระยะต่อไปในไตรมาส 3/58 ซึ่งเมื่อพัฒนาโครงการแล้วเสร็จ จะทำให้ SLP มีพื้นที่คลังสินค้าและโรงงานให้เช่าภายในโครงการเทคโนปาร์ค (Technopark) รวม 146,195 ตร.ม.
ทั้งนี้ ในส่วนของ TICON ซึ่งถือหุ้น 25% จะใส่เงินลงทุนเบื้องต้น 400 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมองหาซื้อที่ดิน (แลนด์แบงก์) แห่งที่ 2 ในอินโดนีเซียเพื่อพัฒนาเฟสต่อไปในอนาคต
บริษัทได้ปรับลดเป้ารายได้รวมปีนี้เหลือโต 5% จากเดิมตั้งเป้าว่าจะเติบโต 10% เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศชะลอ อุตสาหกรรมด้านโรงงานชะลอตัว อย่างไรก็ตามโปรเจกต์ที่เป็นพื้นที่ปล่อยเช่าใหม่แบบคลังสินค้าที่สร้างตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-suit) ได้รับความนิยมมากขึ้น แต่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าคลังสินค้าแบบสร้างสำเร็จ (Ready-built) แต่ความต้องการคลังสินค้าแบบ Ready-built จะโตน้อยกว่า โดยทั้งปีมองว่าจะสามารถส่งมอบพื้นที่เช่าที่ 2.5 แสนตร.ม.ได้ จากปัจจุบันทำได้แล้ว 7-8 หมื่นตร.ม.
"ปี 58 รายได้รวมน่าจะโต 5% มาจากค่าเช่า เงินปันผลที่จะได้เพิ่มขึ้นเพราะเรามีการลงทุนในกอง REIT ค่าบริหารกอง REIT บริหารกองทุนอสังหาริมทรัพย์ มีการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน แต่ไตรมาส 1/58 ที่กำไรลดลงจากไตรมาส 1/57 เพราะมีรายได้จากค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นก็จริง แต่ไม่มีขายเข้ากองทุนเลย ขณะที่ไตรมาส 1/57 มีขายเข้ากองเกือบ 500 ล้านบาท และพอเราพัฒนา Built-to-suit มากขึ้น มาร์จินจะลดลงเพราะไซด์ใหญ่มากขึ้น"นายวีรพันธ์ กล่าว
นายวีรพันธ์ กล่าวว่า ส่วนแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 2/58 คาดว่าจะสูงกว่าไตรมาส 1/58 เนื่องจากผ่านไป 2 เดือนแรกของไตรมาส 2 แนวโน้มดีขึ้น และเวลาที่เหลืออีก 1 เดือนก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเพราะคลังสินค้าให้เช่าดีขึ้น ตลอดจนมีคนเข้ามาลงทุนโรงงานในไทยค่อยๆเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศหลังจากที่ได้เข้าไปลงทุนในอินโดนีเซียแล้ว ก็มองประเทศเพื่อนบ้านด้วย เช่น พม่า เวียดนาม แต่ปีนี้คงยังไม่เห็นเพราะอยากจะลงทุนในอินโดนีเซียให้เห็นภาพชัดเจนมีรายได้เข้ามาก่อน ที่มองพม่าและเวียดนามเพราะมีประชากรจำนวนมาก เราดูที่ประชากรเป็นหลัก โดยที่พม่ามองแถวใกล้ๆ ย่างกุ้ง โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้จากต่างประเทศในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีสัดส่วนอยู่ที่ 25% ของรายได้รวม จากปีนี้ที่จะรับรู้น้อยมาก โดยรายได้จากอินโดนีเซียจะเริ่มรับรู้ในไตรมาส 3/58 เป็นต้นไป ขณะที่อุตสาหกรรมคลังสินค้าในอินโดนีเซียน่าจะเติบโตเหมือนของไทยราว 2 แสนตร.ม./ปี