ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในช่วงประมาณไตรมาส 2-3 ของปี 2558 นี้ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์
อีกทั้ง บริษัทยังมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีการออกแบบโครงการที่มีเอกลักษณ์ (Uniqueness Project Design) ฟังชั่นการใช้งานห้องชุดที่คุ้มค่า (Best Function of Unit Plan Design) และเป็นเลิศในด้านบริการหลังการขาย (After Sale Service Excellent) โดยบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมีเนียมที่เป็นผู้บุกเบิกโครงการคอนโดมีเนียมบริเวณสถานีรถไฟฟ้า BTS แบริ่ง จังหวัดสมุทรปราการ และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ทำให้มีการพัฒนาโครงการคอนโดมีเนียมอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2558 บริษัทฯมีโครงการคอนโดมิเนียมที่ปิดโครงการแล้วจำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 198 ล้านบาท และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายจำนวน 19 โครงการ โดยแบ่งเป็น โครงการที่พัฒนาแล้วเสร็จจำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,919 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 11 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,725 ล้านบาท และโครงการในอนาคต จำนวน 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 7,170 ล้านบาท
ภายหลังการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปใช้ในการพัฒนาโครงการของบริษัทฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบันและในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียน
ทั้งนี้บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ
นายพีระพงศ์ กล่าวต่อว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปีนี้มากกว่า 2 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 559.4 ล้านบาท ในขณะเดียวกันคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตก้าวกระโดดจากปีก่อนที่ทำได้ 70.3 ล้านบาท หลังในช่วงไตรมาส 1/58 มีกำไรสุทธิแล้ว 105.3 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทฯมียอดขายรอโอน (Backlog) 4.3 พันล้านบาท พร้อมกันนี้ บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 5.5 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทฯเตรียมเปิดโครงการใหม่ปีนี้ 8 โครงการ มูลค่า 7 พันล้านบาท ปัจจุบันมีที่ดินเปล่ารอการพัฒนาอีก 3 แห่ง พร้อมทั้งตั้งงบลงทุนอีก 1,000 ล้านบาท เพื่อใช้ซื้อที่ดินใหม่ที่จะเน้นตามแนวส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าและนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นทำเลใหม่ที่การแข่งขันยังไม่สูงมากนัก ที่สำคัญกลุ่มลูกค้าในเขตดังกล่าวซื้อเพื่ออยู่อาศัยอย่างแท้จริง
สำหรับอัตราปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทฯ ปัจจุบันอยู่ระดับเพียง 2% ต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ประมาณ 15-20% เนื่องจากบริษัทฯมีการบริหารและคัดกรองกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการมัดจำขั้นต่ำ 30,000-50,000 บาท และดาวน์ที่อัตรา 10-12% ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ บริษัทฯยังเน้นกลุ่มลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งอยู่ทำเลใกล้กับนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการอสังหาฯยังไม่ค่อยขยายในส่วนดังกล่าวมากนัก โดยปัจจุบันมีลูกค้าต่างชาติ 12%
ด้านนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับภาวะตลาด IPO ที่ในช่วงหลังไม่ค่อยคึกคัก เนื่องจากเป็นไปตามภาวะตลาดโดยรวม ซึ่งหากเป็นหุ้นที่พื้นฐานดีราคาจะกลับไปสู่ในระดับที่เหมาะสมเสมอ ซึ่ง ORI ก็เช่นกัน เชื่อว่าด้วยจุดเด่นด้านการบริหารและศักยภาพในการควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้มีอัตรากำไรสุทธิถึง 21% สูงเป็นอันดับต้นๆของอุตสาหกรรม และมีเป้าหมายจะรักษาอัตรากำไรให้อยู่ระดับดังกล่าวต่อไปในอนาคต จึงเชื่อว่าจะเป็นหุ้นอีก 1 บริษัทที่เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว ที่สำคัญมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ