ขณะเดียวกันบริษัทฯก็ตั้งเป้าชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวได้ทั้งหมดในปีนี้ที่มีอยู่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะสามารถลดภาระดอกเบี้ยจ่ายได้ 30 ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทฯตั้งเป้าปริมาณการขายปีนี้จะเติบโต 12% หรือ 1.25 ล้านตัน จากปีก่อนที่อยู่ 1.12 ล้านตัน โดยจะมาจากยอดขายสินค้า High value ประมาณ 30% ซึ่งบริษัทฯมีกลยุทธ์ผลักดันการขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ SD50,เหล็กตัดและดัด,เหล็กต้านทานแรงสั่นสะเทือน เป็นต้น
ประกอบกับบริษัทฯจะส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศเพิ่มขึ้น เช่น ออสเตรเลีย ,นิวซีแลนด์,มาเลเซีย และประเทศแถวอาเซียน จากปัจจุบันบริษัทฯมีการส่งออกสินค้าไปยังประเทศลาว ,กัมพูชา ,อินเดีย ,พม่า ,เวียดนาม อินโดนีเซีย และปากีสถาน เป็นต้น โดยบริษัทฯตั้งเป้าสัดส่วนการส่งออกต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 12% จากปีก่อนอยู่ที่ 7%
นอกจากนี้บริษัทฯได้รับงานโครงการเขื่อนไซยะบุรี ประเทศลาว ซึ่งจะทำการส่งมอบสินค้าได้ตั้งแต่เดือนส.ค.58 เป็นต้นไป โดยรอบแรกจะส่งมอบสินค้าประมาณ 30,000 ตัน จนถึงเดือนธ.ค.58 ก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อปริมาณการขายในปีนี้ รวมถึงการส่งออกไปยังประเทศอินเดียที่คาดว่าปีนี้จะอยู่ราว 50,000 ตัน หรือคิดเป็น 12,000 ตันต่อไตรมาส
ส่วนอัตราการบริโภคเหล็กในไทย คาดการณ์ว่าน่าจะเพิ่มขึ้น 4-5% หรือ 18 ล้านตัน จากปีก่อนที่มีอัตราการบริโภคเหล็กของไทยอยู่ที่ 17,339 ล้านตัน เป็นไปตามการเติบโตของ GDP ในประเทศไทยที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3-3.5% ในปี 58 โดยมีปัจจัยหลักคือการลงทุนทั้งของภาครัฐและเอกชน รวมถึงส่งออกที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามคาดการณ์โครงสร้างพื้นฐานรัฐบาลจะส่งผลให้มีปริมาณการบริโภคเหล็กเส้นถึง 2.3 ล้านตันใน 5 ปีข้างหน้า หรือคิดเป็นมูลค่าถึง 5 หมื่นล้านบาท
"ปีนี้การบริโภคเหล็กน่าจะเพิ่มขึ้น 4-5% จากปีก่อน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านตันในอีก 3 ปีข้างหน้า จากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ที่จะช่วยผลักดันการบริโภคเหล็กให้เติบโตมากขึ้น คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีปริมาณการบริโภคเหล็กถึง 2.3 ล้านตันสำหรับโครงการภาครัฐ"นายราจีฟ กล่าว
สำหรับสเปรดราคาเหล็กในประเทศไทยมองว่าไม่น่าจะต่ำกว่าปีก่อน โดยปีก่อนมีสเปรดราคาเหล็กเฉลี่ย 7,800 บาท/ตัน จากเชื่อว่าราคาเหล็กเส้นอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดแล้ว หรือ USD 10 /ตัน ตั้งแต่สิ้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา โดยราคาเหล็กเส้นในประเทศเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากความเชื่อมั่นและความต้องการใช้สินค้าเหล็กในประเทศ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่ราคาเหล็กลวดนำเข้ายังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องผลักดันมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดชั่วคราว สำหรับเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ และเสนอภาครัฐให้มีการทบทวนมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กลวดคาร์บอนสูง ก่อนที่จะครบกำหนด
นายราจีฟ กล่าวว่า บริษัทฯเตรียมเสนอบอร์ดเพื่อพิจารณาหาแนวทางล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ราว 3,400 ล้านบาท ในเดือนก.ค.58 ซึ่งหลังจากได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมแล้ว ก็น่าจะมีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการของการล้างขาดทุนสะสมออกมาได้