นายศิริธัช กล่าวว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1-9 ที่ขัดขวางไม่ให้ตัวแทนผู้รับมอบฉันทะของตน รวมถึงผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ เข้าประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 ทำให้ บริษัท NMG ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียงทางธุรกิจ เนื่องจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น เพราะไม่มั่นใจว่าสิทธิและผลประโยชน์ของนักลงทุนจะได้รับความคุ้มครองหรือไม่ ทั้งนี้ สิทธิในการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี นอกจากนั้น การขัดขวางไม่ให้ผู้ถือหุ้นเข้าประชุม ยังเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ถือหุ้น ทำให้ NMG ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากการที่ไม่ได้ใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นตามกฎหมายได้อีกด้วย
การกระทำครั้งนี้ทำให้ทางฝ่ายนายสุทธิชัย และพวก ได้รับประโยชน์จากการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว โดยปรากฏตามภาพข่าวสื่อมวลชนเฉพาะในเครือเนชั่น กรุ๊ป เสนอข่าวด้านเดียวมาโดยตลอดในทำนองที่ว่านายสุทธิชัย ประกาศเจตนาว่าไม่ยอมให้กลุ่มทุนหรือผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ เข้ามาร่วมบริหารกิจการของ บริษัท NMG โดยอ้างว่าเป็นกลุ่มทุนสีเทา ทำให้นายสุทธิชัย สามารถควบคุมอำนาจบริหารได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันเป็นการกีดกันไม่ให้ผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ในการตรวจสอบการทำงานของผู้บริหาร กิจการของ NMG ที่มีผู้ถือหุ้นหลายราย ไม่มีโอกาสตรวจสอบการทำงาน ในทางปฏิบัติกลับเป็นบริษัทของนายสุทธิชัย หรือผู้บริหารเพียงไม่กี่คน
และตามหนังสือเชิญประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 ในวาระที่ 9 คือ วาระอื่นๆ นั้น ผู้ถือหุ้นมีสิทธิในการคัดเลือกหรือถอดถอนกรรมการโดยมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดเกรงว่า กรรมการกลุ่มพวกของตนจะถูกถอดถอนและไม่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการใหม่ การที่หน่วงเหนี่ยวขัดขวางไม่ยอมให้ตัวแทนผู้รับมอบฉันทะของนายศิริธัช และผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ เข้าประชุม เพราะเกรงว่าผู้ถูกกล่าวหาคนใดคนหนึ่งอาจถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการใหม่ได้ จึงเป็นการกระทำโดยทุจริต เพื่อแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ สำหรับกลุ่มพวกตัวเองที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารบริษัทต่อไป อันเป็นการร่วมกันบริหารแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยปราศจากผู้ถือหุ้น ตัวแทนผู้ถือหุ้นในการตรวจสอบการบริหาร
สำหรับนายณิทธิมน หัสดินทร ณ อยุธยา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 9 ที่ทำหนังสือแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง เนื่องจากชี้แจงว่าประธานได้ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 (รวมที่แก้ไขเพิ่มเติม) มาตรา 104 และ 105 และข้อบังคับของบริษัท ข้อ 34 และ 35 ในฐานะประธานในที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้กลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งเข้าร่วมประชุมในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นฯ เนื่องจากตามกฎหมายที่อ้างถึงดังกล่าวไม่ปรากฏถ้อยคำที่ระบุให้ประธานในที่ประชุมมีอำนาจในการไม่อนุญาตให้ผู้ถือหุ้นเข้าร่วมประชุมสามัญได้
และข้ออ้างที่ว่ามีกลุ่มบุคคลร่วมกันถือหุ้นโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายในเรื่องหลักเกณฑ์การเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดๆ เลยว่ามีการกระทำเช่นนั้นจริง อีกทั้งยังไม่มีหน่วยงานหรือมีคำวินิจฉัยของศาลอันเป็นที่สุด ว่า มีการกระทำอันเป็นการผิดต่อกฎหมาย ประการที่สำคัญ นายศิริธัช เป็นผู้ถือหุ้นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลที่นายสุทธิชัย กล่าวอ้าง โดยไม่มีรายชื่อร่วมอยู่ใน 50 รายชื่อตามหนังสือชี้แจงแต่อย่างใด ทั้งยังปรากฏด้วยว่านอกจากนายศิริธัช หรือตัวแทนจะถูกห้ามมิให้เข้าร่วมประชุมแล้ว ยังปรากฏข้อเท็จจริงอีกด้วยว่ามีการห้ามผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ อีกหลายรายเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น กรณีจึงเห็นได้ชัดแจ้งว่า มิใช่เป็นการห้ามผู้ถือหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง แต่ยังเป็นการห้ามผู้ถือหุ้นอื่นๆ อีกหลายคนที่ไม่ใช่พวกพ้องของตนเข้าประชุม เพราะเกรงว่าจะสูญเสียอำนาจในการบริหาร
แม้นายณิทธิมณ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 9 จะอ้างว่าตนมีคำสั่งห้ามในฐานะประธาน แต่การจัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 ดังกล่าว อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรรมการหรือผู้บริหาร คือ ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดได้เข้าร่วมประชุมทุกคน โดยผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นกรรมการและผู้บริหารแต่ละคนมีหน้าที่ท้วงติงห้ามปราม โดยเฉพาะนายสุทธิชัย ได้เชิดให้ นายณิทธิมณ ทำหน้าที่ประธาน โดยผู้ถูกกล่าวหาแต่ละคนมิได้ทักท้วง หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด จึงเป็นพฤติการณ์ชี้ให้เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดร่วมกันกระทำการอันเป็นการผิดต่อกฎหมาย ถือเป็นการร่วมกันกระทำผิดอาญา ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และกระทำการโดยทุจริต จนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย และทำให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวแล้ว ยังทำให้นายศิริธัช และผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ อีกมากได้รับความเสียหายไปด้วย